วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

     หลังจากผ่านม.ปลายมาแล้ว เราก็เข้าสู่การเรียนระดับอุดมศึกษา หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่ามหาลัยนั่นหล่ะครับ
ผมได้เรียนต่อที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
     ปีหนึ่ง ก็เป็นปีแห่งความสุขครับ(มั่ง) อะไรจะชิวขนาดนั้น ไม่มีการเข้าแถวเคารพธงชาติ ไม่มีการเชคชื่อ ไม่มีการทำรายงานแปะฟิวเจอร์บอร์ด ที่สั่ง 1 เดือน หรือ 1 อาทิตย์ หรือ 1 วันก็มีค่าเท่ากัน คือทำมันตอนเช้าก่อนรายงาน ไม่มีการกวดวิชา ไม่มีกลิ่นตึกอุ๊ติดจมูก(ปัจจุบัน อาจเปลี่ยนเป็นตึก สยามกิตต์ เป็นที่สิงสถิตใหม่ของนักเรียน) ไม่มีการด่าเวลาไม่ตั้งใจเรียน อยากทำอะไรก็เชิญ เชิญเธอได้เลยตามสบายยยยย ใคร ๆ ก็รัก ก็เอ็นดูน้อง เฟรชชี่

การเข้าแถวเคารพธงชาติ ที่ผมคงไม่ได้สัมผัสบรรยากาศนั้นอีก
(ภาพจาก fotoartspace.com)
อาคาร วรรณสรณ์ หรือ "ตึกอุ๊" ที่สิงสถิตของผมสมัยม.ปลาย



แต่พอเริ่มเรียนเข้าจริง ๆ ก็......
   ใครบอกว่าเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แล้วจะง่าย จะสบายกว่าม.ปลายครับ ผมขอบอกว่ามันไม่จริงเลย ไม่ว่าจะวิชาไหน คณะอะไรก็เถอะ(ผมมีเพื่อนอยู่หลายคณะ ทุกคนก็บ่นให้ผมฟังเหมือนกันครับ) มันก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราคงโตขึ้น ความคาดหวังในตัวเองมันก็เลยสูงขึ้นตาม จากตอนม.ปลาย แค่คิดว่าเรียนยังไงก็ได้ ให้มันเอนท์ติดก็พอ (บางคนนะครับ)
      แต่พอมามหาลัยกลับต้องเรียนให้ได้เกรดดี เกรดจะดีมันก็ได้มาจากการแข่งขันกับเพื่อน ๆ   ด้วยระบบอิงกลุ่ม ถึงคุณจะได้คะแนนเยอะกว่าครึ่ง และเยอะในระดับที่คุณพอใจ แต่ว่าถ้าเพื่อน ๆ ของคุณ(ส่วนใหญ่) ได้คะแนนมากกว่าคุณ เกรดคุณก็ไม่สวยหรอกครับ มันก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่เครียด และที่ผมเห็น หลายต่อหลายคน ปากบอกว่าไม่เครียด แต่กลับไปแอบร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่คะแนน มันก็ไม่ได้แย่มากนะ....แค่ตกมีน (ก็เพื่อนมันเก่งกว่านิ) ผมยังรู้สึกว่าระบบนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกแข่งขันกันเรียนอยู่ลึก ๆ แม้จะไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม
     มันก็ทำให้ผมแอบคิดเล่น ๆ ว่า "ทำไมพวกเราทุกคนไม่แกล้งทำคะแนนให้มันต่ำ ๆ หน่อยหล่ะ เอาสัก 60% ไรเงี้ย มีนจะได้ต่ำ ๆ เกรดจะได้ดีดี" จะบ้าหรอครับ!!! ถ้าทำได้อย่างงั้นจริง ก็คงเป็นยุคพระศรีอารย์ ที่ไม่มีใครเห็นแก่ตัวแล้วหล่ะครับ (แหม ถ้าเพื่อน ๆ แกล้งได้คะแนนน้อยนะ พ้มจะทำให้ได้ท๊อปวิชานั้นเลยหล่ะ 555)
     
     นอกจากการเรียนจะยากแล้ว บางครั้งคนมันก็ยากด้วยครับ ยาก...ที่จะอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่เจ็บช้ำน้ำใจ 555 ก็โดยเฉพาะพวกคน(บางคน) ที่ชอบพูดดัง ๆ ว่า อ่านหนังสือไม่ทัน อ่านไม่รู้เรื่อง ยังไม่ได้ฟังเลคเชอร์ย้อน บลา ๆ ๆ เราเห็นว่าบ่น ๆ ก็ช่วยติวให้ ปรากฏว่ารู้หมดทุกอย่าง บอกว่าเราผิดด้วยแน่555
     พอคะแนนสอบออกมามันได้เกือบท็อป (หรือท็อปซะด้วยซ้ำ) ตลอด พอได้คะแนนเหยียบมีน ก็มาบ่นดัง ๆ ว่า เฮ้อ... เครียดอ่ะ ได้คะแนนน้อย ทำไงดี แม่ด่าแน่เลย (ขอโทษนะครับ ผมตกมีนครับ!!!!!)
  
  แต่จะไปโทษวิชาเรียนมันยาก ก็ไม่ได้นักหรอกครับ คงต้องโทษตัวเองด้วย เพราะผมเห็นนะ ส่วนใหญ่เวลาเลคเชอร์เนี่ย อาจารย์จะแทบไม่ค่อยสนใจนักศึกษา ว่าจะทำอะไร ขออย่าเสียงดังจนเกินงามก็พอ แหม เดี๋ยวนี้ smart phone ก็มาแรงซะด้วย จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นหลายคน นั่งเล่น angry bird/fruit ninja/mega jump ฯลฯ ในห้อง (ผมเองก็คนนึง สมแล้วกับเกรดที่ได้รับ) บางครั้งก็โดดเรียนไปเที่ยวเล่น เพราะว่ามีคนอัดเสียงเลคเชอร์ไว้แล้ว อาจารย์ก็แจก สไลด์ power point ไปอ่านเองที่บ้านเอาก็ได้
smart phone และเกมส์มันส์ ๆ อุปสรรคตัวสำคัญในการเลคเชอร์

    ผมเห็นความแปลกประหลาดหลาย ๆ อย่างในการเรียนของผม จึงได้นำมาแต่งเป็นเพลงร้องแซวเล่น ประชดประชันนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นอย่างไรไปชมได้เลยครับ



ปล.สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร(ในคลิปมันบอกว่าทุกคนรู้จัก เพราะตอนนั้นผมทำให้เพื่อน ๆ ฟังครับ><) ก็เปิดดูได้ในบทความแรกนะครับ ^^

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ15 ธันวาคม 2554 เวลา 17:02

    หัวข้อนี้ โดนมาก สงสัยทุกมหาลัยก็คงเป็นแบบนี้

    ตอบลบ
  2. ยินดีต้อนรับสู่รั้วจุฬาค่ะ ไม่คิดว่าคนที่เล่นดนตรีเก่งขนาดนี้ ดูจะมีหัวไปทางศิลป์ จะเก่งและถนัดไปทางวิทย์อีกด้วย ความสามารถรอบด้านจริงๆค่ะ นับถือๆ เก่งมากๆเลยค่ะ

    ตอบลบ