สถานะ

ติดตามเพลงและผลงานใหม่ๆ ของผม หรือเข้ามาคุยกันแบบเรียลไทม์ได้ทางเพจ www.facebook.com/notekeyboard นะครับ
*สำหรับคอร์ด ที่เห็นในโน้ตนั้น สำหรับมือซ้าย อยากรู้ว่าต้องกดโน้ตอะไรบ้าง กดที่นี่ แล้วใส้ชื่อคอร์ดที่ต้องการรู้ได้เลยนะครับ

ค้นหาบล็อกนี้

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ jiuzhaigou แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ jiuzhaigou แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เที่ยวเมืองจีน เก็บเรื่องมาเล่า

     พอดีช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเมืองจีนครับ ไปเที่ยวที่ อุทยาน จิ่ว ไจ้ โกว (สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง HERO หนังในตำนานที่ถ้าใครเรียนเกี่ยวกับภาพยนต์ก็น่าจะรู้จัก) นับว่าเป็นการไปเมืองจีนครั้งแรกในชีวิตของผม หลังจากการบ่ายเบี่ยงมาตลอดนับ 10 ปี (แม่บอกว่าเคยชวนมาตั้งนานมาก แต่ไม่มีใครยอมไป) เพราะอะไรน่ะหรือครับ ผมก็ว่าเป็นเหตุผลเดียวกับที่หลาย ๆ ท่านคิดนั้นแหละ ครับ ไปฟังกันเลย
บิน ๆ ๆ ไปกับการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า


     เหตุผลแรกคือ "ห้องน้ำ" มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมามากมายว่า ห้องน้ำเมืองจีนนั้น "สุดจะบรรยาย" พี่โน้ตอุดมเค้าก็เคยเล่าไว้ ผมจะบอกให้เลยครับ ว่าตอนนี้ ห้องน้ำส่วนใหญ่ ก็ยังเป็นแบบที่พี่โน้ตเล่าอยู่  (หาดูได้ในเดี่ยว 8 จะอุดหนุนแผ่นพี่เค้า หรือ ดูยูทูปฟรีก็เป็นเรื่องของท่าน 555) ถึงแม้ว่าหลายต่อหลายคนจะบอกว่ามันพัฒนาแล้ว ก็เถอะครับ ที่พัฒนาหน่ะ มันเฉพาะบริเวณที่รับนักท่องเที่ยวครับ ของชาวบ้านทั่ว ๆ ไป มันก็ยังร้ายกาจเหมือนเดิม ลูกทัวร์เราจะทรมานกันมากเมื่อต้องเข้าห้องน้ำปั้ม ไกด์ท้องที่ก็ต้องเข้าไปดูลาดเลาให้ก่อน แล้วก็จะออกมาบอกเราประมาณว่า ห้องที่สองเข้้าได้ แต่อย่าเผลอมองเข้าไปในห้องแรกเลยนะ อุดจมูกให้ดีด้วย (ขออภัยหาบางท่านกำลังทานข้าว) ถ้าเผลอมองเข้าไปในห้องแรกนะครับ จะเห็นอะไรทุกท่านก็น่าจะรู้อยู่ มันทำให้บางคนถึงกับกินข้าวไม่ลงทีเดียว แต่ว่าถ้าเป็นห้องน้ำในโรงแรม ก็ถือว่าดีตามมาตรฐานสากลแล้วครับ (ตรงนี้เลยทำให้ผมพออยู่รอดไปได้)


     อีกเรื่องหนึ่งที่หลาย ๆ ท่านไม่ชอบในเมืองจีนก็คือ "อาหาร" ครับ ผมนี่ไม่ชอบข้อนี้มาก ๆ มากกว่าห้องน้ำที่สุดTEEN เสียอีกครับ คือ อาหารแบบว่า ทุกอย่างจะยืนพื้นด้วยส่วนประกอบหนึ่ง คือ "น้ำมัน" ครับ อาหารทุกอย่างที่เสริฟบนโต๊ะครับ มันเยิ้ม แม้กระทั่ง น้ำแกง!!! สิ่งนี้แสลงใจคนกลัวอ้วนอย่างผมที่สุดเลยหล่ะครับ อีกอย่างก็คือ อาหารที่นี่ ถ้าเป็นอาหารที่จืด อย่างแกงจืด ก็จะจืดอย่างกับกินน้ำเปล่ามัน ๆ เลยครับ ถ้าเป็นอาหารที่มีรสเค็ม ก็จะเค็มจัด ขนาดพริกดองนะครับ ผมจะกินแก้เลี่ยน ก็แทบสำลัก พริกมันดองน้ำส้ม หรือ ดองน้ำปลากันแน่ฟะเนี่ย (- -")


     พูดถึงสิ่งที่ไม่ประทับใจมาแล้ว คราวนี้จะขอพูดถึงสิ่งที่ประทับใจบ้าง ก่อนอื่นเลย ก็คือไกด์ท้องที่ครับ ปกติเวลาที่เราไปเมืองจีนแล้ว จะต้องมีไกด์ท้องที่ ซึ่งทางรัฐบาลจะจัดไว้ให้ดูแลคณะทัวร์เรา ปกติการไปเที่ยวจีนแบบทัวร์ จะถูกกำหนดให้แวะร้านของฝาก พวก หยก บัวหิมะ อะไรเงี้ยครับ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็บอกได้เลยครับว่า ไม่อยากซื้อแต่อย่างได้ แต่ว่าก็ต้องแวะถึง 5 ที่ครับ ผมเคยถามว่า ถ้าไม่แวะจะเกิดอะไรขึ้น ไกด์ก็บอกว่า ไม่แวะไม่ได้ครับ คนขับรถจะไม่ยอมขับต่อหากไม่แวะร้านช็อป แล้วการแวะช็อป ก็ต่อมีเวลานะครับ ถ้าแวะไม่ถึงหนิ่งชั่วโมง คนขับไม่เปิดประตูให้ขึ้นรถ อะไรประมาณนี้เลยครับ แต่ว่าครั้งนี้ คณะทัวร์ของผม จ่ายเงินรัฐบาลเพิ่มไปแล้วเป็นเงินค่่า "ไม่แวะช็อปปิ้ง" ครับพวกเราก็เลยไม่เจอปัญหาข้อนี้
"บัวหิมะ" สิ่งที่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร


     เข้าเรื่องไกด์ท้องที่ต่อ ไกด์ท้องที่คนนี้เป็นผู้ชาย เรียนปริญญาตรี วิชา ภาษาไทย เลยครับ เขาเล่าให้ฟังว่า ที่นี้ การเรียนภาษาไทย เป็นทีนิยมมากกว่าภาษาอังกฤษอีกนะครับ เพราะว่าภาษาไทย เรียนมาแล้ว หางานง่ายกว่ามาก ภาษาอังกฤษคนเรียนได้มีเยอะ แข่งขันสูง และนักท่องเที่ยวที่พูดภาษาอังกฤษ จะมีน้อยครับ ไกด์คนนี้ แตกฉานภาษาไทยระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ อายุแค่ 27 ปี กลับรู้สำนวน รู้คำไทยที่ไม่น่ามีการสอนในโรงเรียน (คำประเภทไหนทุกท่านคงรู้ดี) เค้าบอกว่าลูกทัวร์นี่แหละครับ เป็นคนสอน!!! ไกด์คนนี้ดูแลคณะทัวร์เราดีมากครับ เล่าเรื่องอะไรต่าง ๆ ก็สนุกดี ฟังแล้วไม่เบื่อ และที่สำคัญที่สุด เขา "เข้าข้างพวกเราคนไทย" ครับ เวลามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเดินทาง เขาจะเข้าข้างพวกเราเสมอ ไม่งี่เง่าเหมือนไกด์บางประเทศที่บางครั้งรวมหัวกันเอาเปรียบพวกเราเสียด้วยซ้ำ
     เขาบอกว่า เขาชอบประเทศไทย เวลาที่มีกลุ่มทัวร์จีนออกมาท่องเที่ยว เขาก็ต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทัวร์จีนเช่นกัน เขาเล่าว่าคนจีนชอบเที่ยวประเทศไทยมากครับ ที่ ๆ คนจีนชอบไปก็คือ พัทยา ภูเก็ต กทม.ครับ (เหมือนฝรั่งเลยเนอะ มาถึงก็มาดูของแบบเดียวกับฝรั่งแหละครับ)


     พูดถึงการท่องเที่ยวบ้าง การเดินทางครั้งนี้คณะทัวร์ผม มาเที่ยว อุทยาน จิ่ว ไจ้ โกว มาดูใบไม้เปลี่ยนสี (ตอนช่วง กลาง ๆ ตุลาคมจะสวยที่สุดซึ่งผมก็ไปตอนนั้นพอดี) ดูทะเลสาบหลากสี และการเดินทางครั้งนี้ใช้ รถทัวร์ ทั้งหมด (ยกเว้นตอนมาจากไทย นั้งเครื่องบินมานะครับ) จึงใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการนั่งรถนานมาก เพราะตัวอุทยานอยู่ไกลครับต้องขึ้นเขาไปสูงมาก ของดีก็งี้แหละครับอยากจะดูต้องอดทน แต่อันที่จริงก็มีเครื่องบินไปถึงอุทยานเลยเหมือนกันนะครับ แต่กรุ๊ปทัวร์ส่วนใหญ่จะไม่ชอบ เนื่องจาก ไฟลท์ดีเลย์ง่าย และบ่อย และทีนะนานมากครับ เพราะถ้าภูมิอากาศไม่ดีเขาจะไม่บิน บางทีบินไปแล้วบินกลับก็มี บนนั้นหมอกเยอะครับ แล้วที่จอดก็แคบ จึงต้องชัวร์เท่านั้นถึงจะลง บางทีดีเลย์กัน 6 ชม.บางทีดีเลย์เป็นวัน นั่งรถถึงแม้จะกินเวลามาก แต่ก็ถึงแน่นอนกว่า กำหนดเวลาได้ครับ การนั่งรถก็มีดีอยากหนึ่งครับ คือการได้เห็นทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งต้องบอกเลยว่า สวยมาก ๆ
ใบไม้เปลี่ยนสี และทะเลสาบ ความงามสองข้างทางที่ ฝรั่งคงเห็นบ่อย(ใบไม้เปลี่ยนสี) เลยไม่ค่อยมาเที่ยวกัน
     บริเวณอุทยานจิ่วไจ้โกว นั้น เดิมทีเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองทิเบต แต่เมื่อรัฐบาลมาทำอุทยาน ก็สร้างที่อยู่ใหม่ให้ และอพยพคนบริเวณนั้นออกมา เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติไว้ (แอบอยากให้รัฐบาลไทยเด็ดขาดแบบนี้บ้าง สร้างที่ให้ใหม่ แล้วเวรคืนที่เก่าไปเลยแต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะรัฐบาลไทยเราไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเหมือนรัฐบาลจีน) ของแปลกบริเวณนั้น ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์จากจามรี ซึ่งเป็นวัวชนิดหนึ่ง ทั้งหวีจากเขาจามรี เนื้อจามรี ซึ่งจะหาไม่ได้ที่บริเวณอื่น (นมมันเขาไม่กินนะครับ เขากินนมแพะกันแทน)
ตัวจามรี


     เมื่อเราได้เข้าไปในบริเวณอุทยาน ก็จะมีรถนำเที่ยวครับ เป็นรถที่ใช้ไฟฟ้า (เหมือนรถป็อพของจุฬา แต่ว่าดูแข็งแรงกว่าเยอะครับ ไต่เขาได้ เวลาวิ่งไม่กระตุกจนต้องคว้าเพื่อนแทนเสาเหมือนรถป็อพ) มีให้เลือกสองทาง คือ เหมารถ กับ รอรถตามป้าย ซึ่งการรอรถตามบ้ายลำบากครับ เพราะคนเยอะ รอนาน แลมีทางเลือกพิเศษ คือเดินเอาครับ แต่ว่าแต่ละทะเลสาบนั้นห่างกันเป็น กิโล เดินก็ได้ครับ แต่คงเหนื่อยหน่อยนะ วันนั้นผมได้เที่ยวไป สิบกว่าที่ ก็จะลองยกตัวอย่างที่สวย ๆ ที่ผมจำได้มาให้ดูแล้วกันครับ
อันนี้ ทะเลสาบห้าสีครับ ใครเห็นสีอะไรบ้างเอ่ย
อันนี้ ทะเลสาบ ดอกไม้ 5 สี เนื่องมาจาก เห็นต้นไม้น้ำหลายสีใต้ครับ (น้ำใสมาก)
อันนี้ ทะเลสาบดอกไม้ห้าสี สวยดี อยากให้ดู
ทะเลสาบ ไม้ไผ่ ที่ถ่ายทำภาพยนตร์ HERO 




กว่าที่คณะทัวร์จะเดินทางจาก เฉินตู (ที่เครื่องบินลง) ขึ้นไปถึงตัวอุทยาน ก็ร่วมหกชั่วโมงครับ แต่ว่าก็สวยคุ้มค่าเมื่อยก้นนะครับ 555


     วันต่อมา พวกเราไปกันที่ อุทยาน หวงหลง ซึ่งต้องขึ้นเขาไปอีก ร่วม 4 ชั่วโมงครับ การเดินไปชมนั้นค่อนข้างลำบากทีเดียว เนื่องจากตัวอุทยานอยู่สูงกว่าระดับพื้นดินร่วม 3000 เมตร ทำให้เหนื่อยง่ายและเร็วมาก จนต้องมีอุปกรณ์เสริมคือ กระป๋องออกซิเจนครับ(รูปร่างเป็นอย่างไรดูได้ในวีดีโอ) บันไดทางขึ้นก็ดันเยอะเสียอีก เอาง่าย ๆ ว่ามีแต่บันไดเลยครับ (ผมเกลียดบันได) 
     ส่วนเรื่องทิวทัศน์ น้ำก็ยังใสเหมือนเดิม แต่ว่ามีลักษณะต่างไป คือเราจะเห็นแอ่งน้ำเป็นขั้นบันไดครับ (ใครเคยเล่นเกมส์ Chrono cross ก็จะเหมือนฉากใน Water dragon Isle ครับ)
อุทยาน หวงหลง


     เสร็จสรรพ ก็นับว่าคุ้มนะครับที่ได้มาดู แม้จะต้องแลกกับห้องน้ำสุด TEEN หรืออาหารกาก ๆ และเบียร์ที่รสชาติเหมือนน้ำเปล่า ว่ากันว่า ใครที่มาที่นี้แล้ว จะไม่ขึ้นมาอีกเลย 5555 (ยกเว้นไกด์นะครับ ไกด์ไทยที่ผมไปด้วยเค้าบอกว่าขอขึ้นปีละสองครั้งพอ) ดูครั้งเดียว คุ้มแล้ว พอเลยดีกว่าครับ
     ผมมีวีดีโอที่ถ่ายมาจากเมืองจีนแบบเต็ม ๆ ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะนำมาให้ชมกัน



     
     เกือบลืมไปว่านี่เป็น Blog เกี่ยวกับดนตรี ผมไปจีนคราวนี้ ได้ ขลุ่ยจีนกลับมาเป็น Collection ครับ (ผมชอบสะสมขลุ่ย ไม่ว่าจะเป็น ขลุ่ยเนปาล ขลุ่ยพม่า ขลุ่ย Irish ขลุ่ยไทย ซึ่งอาจนำมาให้ชมในบทความต่อ ๆ ไป) ก็เลยขอนำมาแสดงผลงานสักหน่อยครับ
     ใครว่าเครื่องดนตรีประจำชาติจะนำมาเล่นดนตรีสากลไม่ได้ ถึงแม้ว่าระดับ scale จะแปลก ๆ ไปจากสากลบ้าง แต่ถ้าเรารู้จักประยุกต์ ก็จะสามารถนำมาเล่นกับดนตรีสากลได้สบายเลยครับ อย่างเช่นในรายการคุณพระช่วย หรือจากวงดนตรี ผู้หญิง 12 คน ของจีนที่ใช้เครื่องดนตรีจีนเล่นเพลงกับดนตรีสากล สร้างเพลงได้อย่างกลมกลืน
     เชิญชมเลยครับกับ เพลงขลุ่ยจีน คู่กับกีต้าร์ "ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้" (แต่ส่วนใหญ่มักรู้จักกันว่าเพลง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ)