เคยไหมที่มีความรู้สึก อยากเข้มแข็ง อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากอยู่ได้ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ต้องพิ่งใคร ๆ อยากมีคุณค่าในสายตาคนอื่น อยากมีประโยชน์ต่อสังคม
ผมว่าหลาย ๆ คนคงเคยมีความรู้สึกแบบนี้นะครับ โดยเฉพาะเด็กที่กำลังโต (อย่างผม ^^) ก็ย่อมอยากปีกกล้าขาแข็ง บ้างเป็นธรรมดา อะไรกันจะพึ่งแต่พ่อแม่ตลอดไปเลยรึไง ทำให้หลาย ๆ คนพยายามที่จะหาเป้าหมายเพื่อก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จนั้น หลายคนก็มีหลายวิธี อาทิ ตั้งใจเรียนให้โหด ๆ จะได้ติดคณะดีดีมีงานทำแน่นอน หารายได้พิเศษ ไม่ว่าจะเป็น ทำงาน part-time หรือ สอนพิเศษ แม้กระทั่งทำธุรกิจเครือข่าย เพื่อให้ได้มาซึ่ง เงิน หรือ ผลตอบแทนอื่น ๆ ซึ่งทำให้ตัวเองดูมีคุณค่าขึ้นมา
แน่นอนครับ การทำอะไรทุกอย่างย่อมต้องการการทุ่มเท สละแรงกาย แรงใจ เวลา จะอาจทำให้หลาย ๆ คนมัวแต่มองเป้าหมายของตนเอง จนลืมสังเกต ใส่ใจ สิ่งรอบข้างใกล้ ๆ ตัวไปบ้าง
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีเป้าหมายไว้ให้พุ่งชน (กระทิงแดงเปล่าหว่า) และผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ตัวเองได้เลิอกที่จะทำแล้ว ผมคิดว่า คนเรามันจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีประโยชน์ต่อสังคม ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผมก็เลยมักจะบ้างานจนไม่ค่อยได้สนใจใครเท่าไร โดยเฉพาะตอนสอบ ENT นี่ผมบ้าเรียนมากแทบไม่ใส่ใจเพื่อน ๆ เลย(เพื่อนมันบอกว่าผมเปลี่ยนไปนะครับ ถึงได้รู้)
ในตอนนั้นในใจมันก็เหงานะครับ การพยายามสร้างคุณค่าให้ตัวเอง แต่กลับลืมใส่ใจคนรอบข้าง จนคนรอบข้างก็ลืมใส่ใจเราไปแล้วเหมือนกัน (กลายเป็นมนุษย์โลกลืม) ผมก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไป
จนกระทั่งวันหนึ่ง โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือ ผมก็กำลังจะรับด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อมองไปที่เบอร์คนโทรมา ผมก็สะอึก เพราะคนโทรมาคือคนที่ผมเคยใส่ใจ และห่วงใยความรู้สึก ก่อนที่ผมจะมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้ต้องทำคือ "ENT ให้ติด" เธอโทรมาถามผมเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่อยเปื่อย ผมก็งงว่า เอ๊ะ จะโทรมาทำไมถ้าไม่มีเรื่องจะถามเป็นสาระ คำตอบของเธอทำผมอึ้งไปเลย "เพราะคิดถึง....."
อันที่จริงผมก็คิดถึงเธอมากเหมือนกัน แต่ว่ามัวแต่ทำนู้นทำนี่ จนไม่ได้โทรหาเลย (ที่จริงก็เป็นเพราะเกลียดโทรศัพท์ด้วยแหละ) พอคุยปุ๊บ ก็ไม่อยากวางสายเลย เพราะมันทำให้ผม "หายเหงา"ลงได้
มันก็เลยทำให้ผมได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง มันจะไปมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าเราพยายามมีคุณค่าในสายตาคนอื่น แต่กลับลืมสิ่งสำคัญที่อยู่กับตัวเองไป มัวแต่ทำงานจนลืมคนที่ห่วงใยเราไป แล้วก็มาตีโพยตีพายว่า อุตส่าห์ทำงานแทบแย่ แต่ไม่มีใครสนใจ เหงา ขาดความอบอุ่น ก็เพราะเรานี่แหละ ที่ลืม "ใส่ใจ" เขาก่อน
ขอบคุณมากนะ ที่โทรมาวันนั้น ที่บอกว่าคิดถึง แม้จะนาน ๆ ที ก็เถอะ
เพลงนี้ก็แต่งมาจากเรื่องที่พล่ามไปด้านบนนั้นแหละครับ แต่ก็ดัดแปลงนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อความน่ารัก(เหรอ) กับ ความคล้องจอง
เพลงนี้ใช้วิธีแต่งทำนองด้วยโปรแกรม Sibellius6 ซึ่งเป็นโปรแกรมเขียน Score เพลงในรูปแบบโน๊ตดนตรีสากล (ตอนหน้าจะเอามาแจก) แล้วใช้ iPhone ในการอัดวีดีโอทั้งหมด รวมทั้งเสียงคนร้อง
จากนั้้นใช้โปรแกรม vegas pro ในการ mix เสียงและภาพเข้าด้วยกัน(ถ้ามีโอกาสจะแจกครับ)
Blog นี้เป็น ที่สำหรับแสดงผลงานเพลงของผมและแจกโน้ตเพลงนะครับ หวังว่าจะชอบ blog นี้กันนะครับ
สถานะ
ติดตามเพลงและผลงานใหม่ๆ ของผม หรือเข้ามาคุยกันแบบเรียลไทม์ได้ทางเพจ www.facebook.com/notekeyboard นะครับ
*สำหรับคอร์ด ที่เห็นในโน้ตนั้น สำหรับมือซ้าย อยากรู้ว่าต้องกดโน้ตอะไรบ้าง กดที่นี่ แล้วใส้ชื่อคอร์ดที่ต้องการรู้ได้เลยนะครับ
ค้นหาบล็อกนี้
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ music composer แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ music composer แสดงบทความทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ว่าด้วยเรื่องของ Flamenco
เนื่องจากผมเป็นคนที่ชื่นชอบเพลงจังหวะลาติน ก็เลยพลอยหลงไหลศิลปะแบบของชาวสเปนไปด้วย หนึ่งในศิลปะขึ้นชื่อของชาวสเปนก็คือ Flamenco Dance ซึ่งก็ทำให้เกิดการดีดกีต้าร์แบบ Flamenco ซึ่งเป็นวิธีการดีดกีต้าร์ที่ผมชอบมาก วันนี้เลยขอพูดถึงเรื่อง Flamenco แล้วกันครับ
ภาพการเต้นฟลาเมนโก้ |
หลายคนคงสงสัยว่า เอ๊ะ!!! Flamenco คืออะไร เกี่ยวอะไรกับนกฟลามิงโก้หรือเปล่า(ขำ) วันนี้ผมก็จะขอนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
นกฟลามิงโก้ |
Flamenco เป็นภาษาสเปน หมายถึง ดนตรีประเภทหนึ่ง รู้จักกันดีในความเร็ว และซับซ้อน และระบำประเภทหนึ่ง ซึ่งเต้นโดยใช้เท้าให้เกิดเสียง แต่ต้นกำเนิดนั้นไม่ปรากฏชัดแจ้งนักว่าอยู่ในสมัยไหน ส่วนคำเรียกระบำชนิดนี้ว่าFlamenco นั้น ตั้งชื่อตามนก Flamingo (เห็นไหม!!! มันเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้จริง ๆ ด้วย) ระบำ Flamenco เป็นระบำที่รวบรวมเอาดนตรีที่ซับซ้อนและประเพณีวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน
ถ้าพิจารณาวัฒนธรรมของสเปนโดยทั่วไปแล้ว ระบำ Flamenco ก็จะมีต้นกำเนิดมาจากภาคที่หนึ่ง คือ Andalucia (สเปนตอนใต้ เมืองใหญ่ๆคือซาบิญ่า กรานาด้า คอร์โดบา)
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะ Extremadura และ Murcia ก็นำมาซึ่งการพัฒนาระบำ Flamenco ประกอบเพลง และนักเต้น Flamenco ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากล้วนถือกำเนิดมาจากดินแดนของรัฐอื่นๆ
เป็นที่รู้กันดีว่า Flamenco นั้น ถือกำเนิดจากวัฒนธรรมอาระบิก อันดาลูเชียน เซฟาร์ดิก และยิปซี ซึ่งพบมากในAndalucia ก่อนและหลังยุคReconquest (ยุคที่คริสเตียนรบเพื่อชิงดินแดนกลับคืนจากมุสลิม ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๘-๑๕ หรือพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๒๐)
อิทธิพลของชาวละตินอเมริกาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวคิวบา ล้วนมีส่วนสำคัญต่อรูปแบบของระบำ Flamenco ประกอบเพลง ระบำ Flamenco นั้นจะต้องเล่นควบคู่ไปกับกีตาร์ Flamenco ด้วย
ครั้งหนึ่ง ต้นกำเนิดของ Flamenco เกิดขึ้นที่ Andalucia ในรูปแบบของวัฒนธรมกลุ่มย่อย ศูนย์กลางอยู่ที่เมือง เซวีล คาดีส และบางส่วนของมะละกา รู้จักกันในนาม Baja Andalucía หรือ Lower Andalusia ภายหลังกระจายไปยังส่วนที่เหลือของ Andaluciaไปรวมกันและเปลี่ยนแปลงไปเป็นการแสดงท้องถิ่น เมื่อความนิยมระบำ Flamencoเพิ่มขึ้น วัฒนธรรมทางดนตรีท้องถิ่นของสเปนชนิดอื่นๆ (เช่น Castilian traditional music) ล้วนมีอิทธิพล และได้รับอิทธิพลจากระบำ Flamenco ด้วย
ท่าทางในการนั่งดีดกีต้าร์ฟลาเมนโก้ แบบปัจจุบัน จะนั่งไขว่ห้าง(แบบดั้งเดิมจะมีท่าคล้ายการดีดกีต้าร์คลาสิก ) |
ท่าทางในการยืนดีด (เมื่อยน่าดู) |
ระบำ flamenco ไม่มีท่าเต้นที่ตายตัว นักเต้นรำจะดัดแปลงลีลาจากท่าเต้นพื้นฐาน โดยยึดตามจังหวะกีตาร์และอารมณ์ของตัวนักเต้นเอ การร้องเพลงก็เป็นส่วนสำคัญของศิลปะ flamenco และส่วนต่างๆของแคว้น Andalucia จะมี cante (เพลง) หลายสไตล์
(ขอบคุณข้อมูลจากเว๊ป Dek-d)
ตัวผมเองชอบการดีดกีต้าร์แบบนี้มาก แต่ว่าผมไม่เคยได้เรียนกีต้าร์ที่ไหนเลย จึงไม่มีผู้แนะนำวิธีการดีดที่ถูกต้องให้ แต่ว่า เด็กไทยสมัยนี้โชคดีครับ ที่เรามีอาจารย์ กู (google) และ อาจารย์ ยู (youtube)
ผมจึงได้ลองศึกษาวิธีดีดกีต้าร์แบบ Flamenco และก็พบว่า มันต้องอาศัย skill อย่างมาก ในการดีดให้เพราะ ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังทำไม่ได้ ผมจึงลองเปลี่ยนมาใช้ อูคูเลเล่ เล่นดู ซึ่งมีเทคนิคที่ง่ายกว่ามากในการดีด (เนื่องจากคอของอูคูเลเล่มันเล็กกว่าจึงดีดได้เร็วกว่า) ลองชมในคลิปวีดีโอสอนดูละกันนะครับ
ผมฟังเสียงอีตานี่พูดประโยคซ้ำ ๆ กันจนครบทั้ง 20 กว่าตอนครับ(เขาจะแนะนำตัวตอน intro แต่ละตอน) ฝันถึงเขาเลยครับ พับผ่าสิ..... ขอบคุณนะครับ แต่.... ผมก็ยังเล่นไม่ดีอยู่ดี
เอาแบบง่าย ๆ กันดีกว่า กับเครื่องดนตรีที่มาแรงเป็น คริสปี้ครีม ของวงการดนตรีไทย "อูคูเลเล่" นั้นเอง
......ผมหาคลิปอันที่เป็นตัวสอนผมไม่เจอแล้วครับ สงสัยเขาลบไปแล้ว แต่ว่าทุกท่านก็ลองหาดูได้นะครับ มันมีหลายสไตล์ในการดีด ว่าแล้วก็ขอนำเสนอเพลงที่ผมแต่งขึ้น หลังจากได้เรียนการดีดฟลาเมนโก้บนอูคูเลเล่ ของผมเลยแล้วกันคร้าบ
เพลงนี้ผมได้แรงบันดาลใจมากจากเพลง ๆ หนึ่งของนักร้องชื่อ Helmut Lotti เขาเป็นนักร้องในดวงใจผมเลยครับ 5555 คนอะไรร้องเพลงก็เพราะ แถมร้องได้หลายภาษาอีกต่างหาก เพลงสไตล์นี้จะมีความรู้สึกที่ค่อนข้าง Passionate แบบว่าไม่อยากแปลอ่ะครับ อธิบายไม่ค่อยถูก ซึ่งผมก็พยายามใส่ความรู้สึกแบบนี้ลงไปในเพลง(แต่ว่ามันขัดกับบุคคลิกผมซึ่งเป็นคนชิว ๆ )
เอาละครับ พล่ามกันมามากแล้ว ลองฟังดูกันเลยแล้วกัน กับเพลง I will fight my way to you
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เพลงเพื่อสิ่งแวดล้อม เพลงแรกที่ได้รางวัล ทำให้ผมมีกำลังใจแต่งเพลงมาเรื่อย ๆ
พอผมเริ่มเข้าเรียนในปีหนึ่ง ที่คณะทันตแพทยศาสตร์ ปีหนึ่่งยังเป็นปีที่ชีวิตสนุกสนานครับ ได้เที่ยวเล่นแทบจะทั่วรั่วจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากมีวิชาเรียนจากหลากหลายคณะให้เลือกเรียนครับ (เรียกว่าวิชา GEN ED) และเป็นปีเดียวที่ผมจะได้มีโอกาสเลือกเรียนวิชาเหล่านี้ (เป็นข้อบังคับของ กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ เนื่องจากปีสองขึ้นไปมีวิชาเรียนเยอะมากจนเต็มหน่วยกิต จึงต้องเรียนวิชาเลือกเสรีให้ครบหน่วยกิตตั้งแต่ปีหนึ่ง) ก็ดีครับ ผมได้เที่ยวไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ไปลองของดีประจำคณะต่าง ๆ เช่น ไอติมบัญชี ก๋วยเตี๋ยวอดทนของรัฐศาสตร์ ฯลฯ
มีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟังครับ เนื่องจากคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ไกลออกมาจาก พื้นที่ส่วนใหญ่ของม. เพราะอยู่ในสยามสแควร์{เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกเรียนที่นี่ เพราะว่ามันเดินทางสะดวกครับ ไม่ได้ตั้งใจมาเดินเล่น shopping ดูหนัง แต่อย่างใด(หรอออ)} คนส่วนใหญ่ในคณะเราทั้งนิสิตและอาจารย์ จึงเรียกบริเวณจุฬาว่า "จุฬาใหญ่" (แอบได้ยินพวกในจุฬาใหญ่เรียกพวกเราว่าพวกชนบท บ้านนอกเหมือนกัน 555) ทีนี้ครับ มีอยู่วันนึง อาจารย์จากคณะเรา จะเข้าไปทำธุระที่จุฬาใหญ่ ก็เรียกแท๊กซี่ แล้วบอกคนขับว่า "น้อง ๆ ไปจุฬาใหญ่" คนขับแท๊กซี่ ตอบมาทันใด ว่า "มีจุฬาเล็กด้วยหรอครับ..."
เข้าเรื่องกันดีกว่า... ก็พอดีว่ามีอยู่วันหนึ่งครับ (ไม่ใช่วันก่อนนะครับ) ผมไปกินปังเย็นที่คณะสหเวชครับ
(ปังเย็น คือ ขนมปังที่เอามาใส่กับน้ำปั่นหน่ะแหละครับ คล้าย ๆ น้ำแข็งใส แต่ว่าเป็นรสน้ำปั่น)
พูดแล้วไม่เห็นภาพ ดูของจริงเลยดีกว่า
พอดีตาผมก็ดันไปเห็นป้ายประกาศว่า "รับสมัครนักแต่งเพลง แต่งเพลงเข้าร่วมโครงการ Health sonata ของคณะแพทยศาสตร์" ตาผมก็ลุกวาวทันใด เพราะมีเงินรางวัลชนะเลิศถึง หนึ่งหมื่นบาท แล้วยังได้นำเพลงไปทำเอ็มวีอีกด้วย ผมก็ไม่รอช้าครับ(อยากดัง) รีบสมัครทันใด โดยที่มีหัวข้อการประกวดอยู่ 5 หัวข้อ ซึ่งผมก็ได้เลือกหัวข้อ สิ่งแวดล้อมครับ ตอนนั้นก็แต่งเล่น ๆ ครับ ไม่ได้คาดหวังว่าจะเอาชนะอะไร ซึ่งผมเองก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งสนใจการแต่งเพลงมาเหมือนกัน (มันเป็นคนทำให้ผมเริ่มแต่งเพลงเลยครับ เรื่องของมันอาจจะได้กล่าวในตอนต่อ ๆ ไป) มันก็แต่งเพลงมาด้วย แล้วให้ผมใส่ทำนองให้ ซึ่งผมก็ทำ แล้วผมก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่า....."เฮ้ย เพลงมันเพราะกว่าเพลงตูหว่ะ ถ้าส่งไป ตูแพ้แน่" 5555 แต่ผมก็ไม่ได้อะไรนะครับ คือทำให้มันจนเสร็จ แต่มันก็บอกว่า มันรู้สึกว่าเพลงมันไม่สมบูรณ์ ขาดไปท่อนนึง ขอไปแต่งต่อ ปรากฏว่าจนกระทั่งวันหมดเขต มันก็ไม่แต่งต่อ จึงพลาดโอกาสลุ้นรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย
เวลาเลยผ่านไปจนถึงช่วงใกล้สอบ ผมก็มัวแต่อ่านหนังสือวิชาคณิตศาสตร์แผนใหม่(ในคอม : P)
ปรากฏว่ามีโทรศัพท์ลึกลับดังขั้น ผมก็รับ
คนต่อสายพูดว่า "นั้นคุณ@#$%หรือเปล่าครับ คือ เพลงของคุณได้รับรางวัลนะครับ"
ผมนี้แทบจะตกเก้าอี้เลยครับ เพราะผมโดน ควีนโพธิ์ดำ เต็ม ๆ (สิบสามแต้ม T_T)
ไม่ใช่แล้วครับ เพราะตื่นเต้นครับ ผมรีบถามไปทันทีว่า "ได้รางวัลอะไรครับ"
เสียงตอบกลับมาว่า "รางวัลชมเชย ครับ"
ผมก็ห่อลงไปบ้าง (เพราะอยากได้ตังค์เยอะกว่านี้ ><) แต่ก็ไม่เป็นไร นัดสถานที่รับรางวัลกันแล้วก็จั่วกันต่อ ปรากฏว่า ถึงเวลารับรางวัลครับ ผมงี้อึ้งเลย เฮ้ย!!!! ทำไมมีแต่งคนแต่งรุ่น THE ทั้งนั้นเลยอ่ะ ดูอายุอานามแล้วน่าจะ 50+ ผมนึกว่ารายการนี้เปิดเฉพาะนักศึกษาครับ ผมก็เลยได้ใจขึ้นมานิดนึงว่า "เฮ้ย เรามันก็มีฝีมือเหมือนกันแหะ ได้รับรางวัลกับนักแต่งเพลงรุ่นพ่อ" ไม่ได้อยากเทียบรุ่นนะครับ แต่ว่าดีใจครับ
แต่ว่าก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะครับ ที่เป็นนักศึกษาแล้วได้รางวัล คือพี่อีกคนหนึ่งครับ เค้าคือคนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ผู้ได้ครอบครองเงิน หนึ่งหมื่นบาท (อิจฉา 5555 ผมได้กลับมากินหนม ห้าร้อย) ก็เป็นนักศึกษาเช่นกัน ก็น่านับถือฝีมือการแต่งเพลงของพี่เค้าครับ
สรุป ท้ายที่สุดวันนั้น ผมก็กลับบ้านพร้อม ประกาศฯฟิวเจอร์บอร์ดที่เหมือนเวลาเกมโชว์แจกตังค์ หนึ่งป้าย พร้อมเงินในซองอีก ห้าร้อยบาท กับคำชมของแม่ ส่วนในใจผมคิดว่า "ถ้าไอ้ #@# เพื่อนผมได้ส่งเพลงมาด้วยนั้น รางวัลนี้ของผม ต้องตกไปอยู่กับมันแน่นอนครับท่านผู้ชม 5555"
นี้ครับคือตัวอย่างเพลง "ที่ยังไม่เสร็จ" ของเขา ส่วนเพลงของผมนั้น โดนซื้้อลิขสิทธ์ไปแล้ว และเสียงร้องผมมันก็ทุเรศมาก 5555 ก็เลยขออนุญาติไม่นำมาให้ชมกัน (แต่หาได้ในยูทูปนะ ชื่อเพลงกอด เคยอัพไว้ แล้วเพิ่งมาอ่านกฏหมายลิขสิทธิ์อีกทีก็กลัว ๆ อยู่ แต่ช่างมันเถอะครับ)
สำหรับวีดีโอนี้ ผมใช้โปรแกรม Ulead ในการตัดต่อวีดีโอนะครับ แล้วใช้ Cool edit pro ในการ mix เสียง
แต่โดยรวมแล้ว ผมชอบ sony vegas pro ในการทำวีดีโอมากกว่า เพราะซ่อมได้ทั้งภาพและเสียง
นี่ครับ ไอติมบัญชี |
เข้าเรื่องกันดีกว่า... ก็พอดีว่ามีอยู่วันหนึ่งครับ (ไม่ใช่วันก่อนนะครับ) ผมไปกินปังเย็นที่คณะสหเวชครับ
(ปังเย็น คือ ขนมปังที่เอามาใส่กับน้ำปั่นหน่ะแหละครับ คล้าย ๆ น้ำแข็งใส แต่ว่าเป็นรสน้ำปั่น)
พูดแล้วไม่เห็นภาพ ดูของจริงเลยดีกว่า
นี่แหละครับ "ปังเย็น" (อันนี้รสโกโก้ครับ)
เวลาเลยผ่านไปจนถึงช่วงใกล้สอบ ผมก็มัวแต่อ่านหนังสือวิชาคณิตศาสตร์แผนใหม่(ในคอม : P)
ปรากฏว่ามีโทรศัพท์ลึกลับดังขั้น ผมก็รับ
คนต่อสายพูดว่า "นั้นคุณ@#$%หรือเปล่าครับ คือ เพลงของคุณได้รับรางวัลนะครับ"
ผมนี้แทบจะตกเก้าอี้เลยครับ เพราะผมโดน ควีนโพธิ์ดำ เต็ม ๆ (สิบสามแต้ม T_T)
คณิตศาสตร์ "แผนใหม่" ของผม |
ไม่ใช่แล้วครับ เพราะตื่นเต้นครับ ผมรีบถามไปทันทีว่า "ได้รางวัลอะไรครับ"
เสียงตอบกลับมาว่า "รางวัลชมเชย ครับ"
ผมก็ห่อลงไปบ้าง (เพราะอยากได้ตังค์เยอะกว่านี้ ><) แต่ก็ไม่เป็นไร นัดสถานที่รับรางวัลกันแล้วก็จั่วกันต่อ ปรากฏว่า ถึงเวลารับรางวัลครับ ผมงี้อึ้งเลย เฮ้ย!!!! ทำไมมีแต่งคนแต่งรุ่น THE ทั้งนั้นเลยอ่ะ ดูอายุอานามแล้วน่าจะ 50+ ผมนึกว่ารายการนี้เปิดเฉพาะนักศึกษาครับ ผมก็เลยได้ใจขึ้นมานิดนึงว่า "เฮ้ย เรามันก็มีฝีมือเหมือนกันแหะ ได้รับรางวัลกับนักแต่งเพลงรุ่นพ่อ" ไม่ได้อยากเทียบรุ่นนะครับ แต่ว่าดีใจครับ
แต่ว่าก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะครับ ที่เป็นนักศึกษาแล้วได้รางวัล คือพี่อีกคนหนึ่งครับ เค้าคือคนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ผู้ได้ครอบครองเงิน หนึ่งหมื่นบาท (อิจฉา 5555 ผมได้กลับมากินหนม ห้าร้อย) ก็เป็นนักศึกษาเช่นกัน ก็น่านับถือฝีมือการแต่งเพลงของพี่เค้าครับ
สรุป ท้ายที่สุดวันนั้น ผมก็กลับบ้านพร้อม ประกาศฯฟิวเจอร์บอร์ดที่เหมือนเวลาเกมโชว์แจกตังค์ หนึ่งป้าย พร้อมเงินในซองอีก ห้าร้อยบาท กับคำชมของแม่ ส่วนในใจผมคิดว่า "ถ้าไอ้ #@# เพื่อนผมได้ส่งเพลงมาด้วยนั้น รางวัลนี้ของผม ต้องตกไปอยู่กับมันแน่นอนครับท่านผู้ชม 5555"
นี้ครับคือตัวอย่างเพลง "ที่ยังไม่เสร็จ" ของเขา ส่วนเพลงของผมนั้น โดนซื้้อลิขสิทธ์ไปแล้ว และเสียงร้องผมมันก็ทุเรศมาก 5555 ก็เลยขออนุญาติไม่นำมาให้ชมกัน (แต่หาได้ในยูทูปนะ ชื่อเพลงกอด เคยอัพไว้ แล้วเพิ่งมาอ่านกฏหมายลิขสิทธิ์อีกทีก็กลัว ๆ อยู่ แต่ช่างมันเถอะครับ)
สำหรับวีดีโอนี้ ผมใช้โปรแกรม Ulead ในการตัดต่อวีดีโอนะครับ แล้วใช้ Cool edit pro ในการ mix เสียง
แต่โดยรวมแล้ว ผมชอบ sony vegas pro ในการทำวีดีโอมากกว่า เพราะซ่อมได้ทั้งภาพและเสียง
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
หลังจากผ่านม.ปลายมาแล้ว เราก็เข้าสู่การเรียนระดับอุดมศึกษา หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่ามหาลัยนั่นหล่ะครับ
ผมได้เรียนต่อที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
ปีหนึ่ง ก็เป็นปีแห่งความสุขครับ(มั่ง) อะไรจะชิวขนาดนั้น ไม่มีการเข้าแถวเคารพธงชาติ ไม่มีการเชคชื่อ ไม่มีการทำรายงานแปะฟิวเจอร์บอร์ด ที่สั่ง 1 เดือน หรือ 1 อาทิตย์ หรือ 1 วันก็มีค่าเท่ากัน คือทำมันตอนเช้าก่อนรายงาน ไม่มีการกวดวิชา ไม่มีกลิ่นตึกอุ๊ติดจมูก(ปัจจุบัน อาจเปลี่ยนเป็นตึก สยามกิตต์ เป็นที่สิงสถิตใหม่ของนักเรียน) ไม่มีการด่าเวลาไม่ตั้งใจเรียน อยากทำอะไรก็เชิญ เชิญเธอได้เลยตามสบายยยยย ใคร ๆ ก็รัก ก็เอ็นดูน้อง เฟรชชี่
แต่พอเริ่มเรียนเข้าจริง ๆ ก็......
ใครบอกว่าเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แล้วจะง่าย จะสบายกว่าม.ปลายครับ ผมขอบอกว่ามันไม่จริงเลย ไม่ว่าจะวิชาไหน คณะอะไรก็เถอะ(ผมมีเพื่อนอยู่หลายคณะ ทุกคนก็บ่นให้ผมฟังเหมือนกันครับ) มันก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราคงโตขึ้น ความคาดหวังในตัวเองมันก็เลยสูงขึ้นตาม จากตอนม.ปลาย แค่คิดว่าเรียนยังไงก็ได้ ให้มันเอนท์ติดก็พอ (บางคนนะครับ)
แต่พอมามหาลัยกลับต้องเรียนให้ได้เกรดดี เกรดจะดีมันก็ได้มาจากการแข่งขันกับเพื่อน ๆ ด้วยระบบอิงกลุ่ม ถึงคุณจะได้คะแนนเยอะกว่าครึ่ง และเยอะในระดับที่คุณพอใจ แต่ว่าถ้าเพื่อน ๆ ของคุณ(ส่วนใหญ่) ได้คะแนนมากกว่าคุณ เกรดคุณก็ไม่สวยหรอกครับ มันก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่เครียด และที่ผมเห็น หลายต่อหลายคน ปากบอกว่าไม่เครียด แต่กลับไปแอบร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่คะแนน มันก็ไม่ได้แย่มากนะ....แค่ตกมีน (ก็เพื่อนมันเก่งกว่านิ) ผมยังรู้สึกว่าระบบนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกแข่งขันกันเรียนอยู่ลึก ๆ แม้จะไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม
มันก็ทำให้ผมแอบคิดเล่น ๆ ว่า "ทำไมพวกเราทุกคนไม่แกล้งทำคะแนนให้มันต่ำ ๆ หน่อยหล่ะ เอาสัก 60% ไรเงี้ย มีนจะได้ต่ำ ๆ เกรดจะได้ดีดี" จะบ้าหรอครับ!!! ถ้าทำได้อย่างงั้นจริง ก็คงเป็นยุคพระศรีอารย์ ที่ไม่มีใครเห็นแก่ตัวแล้วหล่ะครับ (แหม ถ้าเพื่อน ๆ แกล้งได้คะแนนน้อยนะ พ้มจะทำให้ได้ท๊อปวิชานั้นเลยหล่ะ 555)
นอกจากการเรียนจะยากแล้ว บางครั้งคนมันก็ยากด้วยครับ ยาก...ที่จะอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่เจ็บช้ำน้ำใจ 555 ก็โดยเฉพาะพวกคน(บางคน) ที่ชอบพูดดัง ๆ ว่า อ่านหนังสือไม่ทัน อ่านไม่รู้เรื่อง ยังไม่ได้ฟังเลคเชอร์ย้อน บลา ๆ ๆ เราเห็นว่าบ่น ๆ ก็ช่วยติวให้ ปรากฏว่ารู้หมดทุกอย่าง บอกว่าเราผิดด้วยแน่555
พอคะแนนสอบออกมามันได้เกือบท็อป (หรือท็อปซะด้วยซ้ำ) ตลอด พอได้คะแนนเหยียบมีน ก็มาบ่นดัง ๆ ว่า เฮ้อ... เครียดอ่ะ ได้คะแนนน้อย ทำไงดี แม่ด่าแน่เลย (ขอโทษนะครับ ผมตกมีนครับ!!!!!)
แต่จะไปโทษวิชาเรียนมันยาก ก็ไม่ได้นักหรอกครับ คงต้องโทษตัวเองด้วย เพราะผมเห็นนะ ส่วนใหญ่เวลาเลคเชอร์เนี่ย อาจารย์จะแทบไม่ค่อยสนใจนักศึกษา ว่าจะทำอะไร ขออย่าเสียงดังจนเกินงามก็พอ แหม เดี๋ยวนี้ smart phone ก็มาแรงซะด้วย จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นหลายคน นั่งเล่น angry bird/fruit ninja/mega jump ฯลฯ ในห้อง (ผมเองก็คนนึง สมแล้วกับเกรดที่ได้รับ) บางครั้งก็โดดเรียนไปเที่ยวเล่น เพราะว่ามีคนอัดเสียงเลคเชอร์ไว้แล้ว อาจารย์ก็แจก สไลด์ power point ไปอ่านเองที่บ้านเอาก็ได้
ผมเห็นความแปลกประหลาดหลาย ๆ อย่างในการเรียนของผม จึงได้นำมาแต่งเป็นเพลงร้องแซวเล่น ประชดประชันนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นอย่างไรไปชมได้เลยครับ
ปล.สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร(ในคลิปมันบอกว่าทุกคนรู้จัก เพราะตอนนั้นผมทำให้เพื่อน ๆ ฟังครับ><) ก็เปิดดูได้ในบทความแรกนะครับ ^^
ผมได้เรียนต่อที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
ปีหนึ่ง ก็เป็นปีแห่งความสุขครับ(มั่ง) อะไรจะชิวขนาดนั้น ไม่มีการเข้าแถวเคารพธงชาติ ไม่มีการเชคชื่อ ไม่มีการทำรายงานแปะฟิวเจอร์บอร์ด ที่สั่ง 1 เดือน หรือ 1 อาทิตย์ หรือ 1 วันก็มีค่าเท่ากัน คือทำมันตอนเช้าก่อนรายงาน ไม่มีการกวดวิชา ไม่มีกลิ่นตึกอุ๊ติดจมูก(ปัจจุบัน อาจเปลี่ยนเป็นตึก สยามกิตต์ เป็นที่สิงสถิตใหม่ของนักเรียน) ไม่มีการด่าเวลาไม่ตั้งใจเรียน อยากทำอะไรก็เชิญ เชิญเธอได้เลยตามสบายยยยย ใคร ๆ ก็รัก ก็เอ็นดูน้อง เฟรชชี่
การเข้าแถวเคารพธงชาติ ที่ผมคงไม่ได้สัมผัสบรรยากาศนั้นอีก (ภาพจาก fotoartspace.com) |
อาคาร วรรณสรณ์ หรือ "ตึกอุ๊" ที่สิงสถิตของผมสมัยม.ปลาย |
แต่พอเริ่มเรียนเข้าจริง ๆ ก็......
ใครบอกว่าเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แล้วจะง่าย จะสบายกว่าม.ปลายครับ ผมขอบอกว่ามันไม่จริงเลย ไม่ว่าจะวิชาไหน คณะอะไรก็เถอะ(ผมมีเพื่อนอยู่หลายคณะ ทุกคนก็บ่นให้ผมฟังเหมือนกันครับ) มันก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราคงโตขึ้น ความคาดหวังในตัวเองมันก็เลยสูงขึ้นตาม จากตอนม.ปลาย แค่คิดว่าเรียนยังไงก็ได้ ให้มันเอนท์ติดก็พอ (บางคนนะครับ)
แต่พอมามหาลัยกลับต้องเรียนให้ได้เกรดดี เกรดจะดีมันก็ได้มาจากการแข่งขันกับเพื่อน ๆ ด้วยระบบอิงกลุ่ม ถึงคุณจะได้คะแนนเยอะกว่าครึ่ง และเยอะในระดับที่คุณพอใจ แต่ว่าถ้าเพื่อน ๆ ของคุณ(ส่วนใหญ่) ได้คะแนนมากกว่าคุณ เกรดคุณก็ไม่สวยหรอกครับ มันก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่เครียด และที่ผมเห็น หลายต่อหลายคน ปากบอกว่าไม่เครียด แต่กลับไปแอบร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่คะแนน มันก็ไม่ได้แย่มากนะ....แค่ตกมีน (ก็เพื่อนมันเก่งกว่านิ) ผมยังรู้สึกว่าระบบนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกแข่งขันกันเรียนอยู่ลึก ๆ แม้จะไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม
มันก็ทำให้ผมแอบคิดเล่น ๆ ว่า "ทำไมพวกเราทุกคนไม่แกล้งทำคะแนนให้มันต่ำ ๆ หน่อยหล่ะ เอาสัก 60% ไรเงี้ย มีนจะได้ต่ำ ๆ เกรดจะได้ดีดี" จะบ้าหรอครับ!!! ถ้าทำได้อย่างงั้นจริง ก็คงเป็นยุคพระศรีอารย์ ที่ไม่มีใครเห็นแก่ตัวแล้วหล่ะครับ (แหม ถ้าเพื่อน ๆ แกล้งได้คะแนนน้อยนะ พ้มจะทำให้ได้ท๊อปวิชานั้นเลยหล่ะ 555)
นอกจากการเรียนจะยากแล้ว บางครั้งคนมันก็ยากด้วยครับ ยาก...ที่จะอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่เจ็บช้ำน้ำใจ 555 ก็โดยเฉพาะพวกคน(บางคน) ที่ชอบพูดดัง ๆ ว่า อ่านหนังสือไม่ทัน อ่านไม่รู้เรื่อง ยังไม่ได้ฟังเลคเชอร์ย้อน บลา ๆ ๆ เราเห็นว่าบ่น ๆ ก็ช่วยติวให้ ปรากฏว่ารู้หมดทุกอย่าง บอกว่าเราผิดด้วยแน่555
พอคะแนนสอบออกมามันได้เกือบท็อป (หรือท็อปซะด้วยซ้ำ) ตลอด พอได้คะแนนเหยียบมีน ก็มาบ่นดัง ๆ ว่า เฮ้อ... เครียดอ่ะ ได้คะแนนน้อย ทำไงดี แม่ด่าแน่เลย (ขอโทษนะครับ ผมตกมีนครับ!!!!!)
แต่จะไปโทษวิชาเรียนมันยาก ก็ไม่ได้นักหรอกครับ คงต้องโทษตัวเองด้วย เพราะผมเห็นนะ ส่วนใหญ่เวลาเลคเชอร์เนี่ย อาจารย์จะแทบไม่ค่อยสนใจนักศึกษา ว่าจะทำอะไร ขออย่าเสียงดังจนเกินงามก็พอ แหม เดี๋ยวนี้ smart phone ก็มาแรงซะด้วย จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นหลายคน นั่งเล่น angry bird/fruit ninja/mega jump ฯลฯ ในห้อง (ผมเองก็คนนึง สมแล้วกับเกรดที่ได้รับ) บางครั้งก็โดดเรียนไปเที่ยวเล่น เพราะว่ามีคนอัดเสียงเลคเชอร์ไว้แล้ว อาจารย์ก็แจก สไลด์ power point ไปอ่านเองที่บ้านเอาก็ได้
smart phone และเกมส์มันส์ ๆ อุปสรรคตัวสำคัญในการเลคเชอร์ |
ผมเห็นความแปลกประหลาดหลาย ๆ อย่างในการเรียนของผม จึงได้นำมาแต่งเป็นเพลงร้องแซวเล่น ประชดประชันนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นอย่างไรไปชมได้เลยครับ
ปล.สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร(ในคลิปมันบอกว่าทุกคนรู้จัก เพราะตอนนั้นผมทำให้เพื่อน ๆ ฟังครับ><) ก็เปิดดูได้ในบทความแรกนะครับ ^^
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เพลงที่สาม เป็นเพลงจบตอนของสองตอนแรก
ก็นะครับ.... เห็นชื่อก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้เป็นตอนจบ แต่ว่าจะจบดี หรือ จบไม่ดีนี้หน่ะสิ
ความเดิมตอนที่แล้ว ชอบ แต่ไม่กล้าจีบ พอนาน ๆ เข้า อีกฝ่ายก็เบื่อนะสิครับ แหมเป็นผม ผมก็เบื่อนะ ผู้ชายไรฟะ ป๊อดจริงเชียว มัวแต่ลังเลอยู่ได้ เค้าไม่ได้บอกผมแบบนี้หรอกนะครับ แต่ว่าผมคิดเองเออเอง พอเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ ผมก็เริ่มจินตนาการ อยากได้เพลงเศร้า ๆ สักเพลงนึง มีจังหวะแบบลาติน ๆ นิดหน่อย (แต่พอเพื่อนได้ฟัง มันบอกว่าเหมือนเพลงอาหรับกันทุกคนเลย T_T ไม่เป็นไรครับ อาหรับก็ได้ เดี๋ยวผมเรียกหลานมาปลุก...)
ธีมของเพลงประมาณว่า "ปล่อยเวลาให้ผ่านมานานเกินไป เพราะมัวแต่ลังเล จนในที่สุดก็ต้องผิดหวัง"
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีอะไรที่อยากทำ แต่ว่าไม่ได้ทำ เพราะไม่กล้า กลัวผลลัพธ์ไม่ดี ลองทำมันเถอะครับ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก เวลามันผ่านไปได้แค่ครั้งเดียว โอกาสดีดี ก็อาจไม่ได้มีบ่อย ๆ
อย่าไปกลัวล่วงหน้าครับ แล้วก็อย่าไปคิดแทนคนอื่น เค้าจะหยั่งงั้นหรึเปล่า เค้าจะหยั่งงี้กับเราไหม เพราะสิ่งที่เรามัวแต่ไปกังวล ไปคิดว่าคนอื่นเค้าคิด มันอาจจะไม่เป็นจริงเลยก็ได้ (และผมว่าเกือบ 100% มีแต่คุณที่คิดมากอยู่คนเดียว) เสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ ครับ แหม พูดซะดีเนอะ ตัวเองก็ทำไม่ได้ 555
พล่ามมาเยอะละ ฟังเพลงกันดีกว่า กับเพลง เสียดาย ครับ
เครื่องดนตรีที่ใช้ yamaha electone el 100 กับกีต้าร์
อัดด้วย BB ปลอมเครื่องละ 2500
คุณภาพเสียงแย่ (ฝีมือคนเล่นแย่) ก็ขออภัยนะครับ หวังว่าจะชอบกัน
ความเดิมตอนที่แล้ว ชอบ แต่ไม่กล้าจีบ พอนาน ๆ เข้า อีกฝ่ายก็เบื่อนะสิครับ แหมเป็นผม ผมก็เบื่อนะ ผู้ชายไรฟะ ป๊อดจริงเชียว มัวแต่ลังเลอยู่ได้ เค้าไม่ได้บอกผมแบบนี้หรอกนะครับ แต่ว่าผมคิดเองเออเอง พอเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ ผมก็เริ่มจินตนาการ อยากได้เพลงเศร้า ๆ สักเพลงนึง มีจังหวะแบบลาติน ๆ นิดหน่อย (แต่พอเพื่อนได้ฟัง มันบอกว่าเหมือนเพลงอาหรับกันทุกคนเลย T_T ไม่เป็นไรครับ อาหรับก็ได้ เดี๋ยวผมเรียกหลานมาปลุก...)
เพื่อนบอกว่า ฟังแล้วเหมือน อาหรับราตรีอะไรยั่งงั้นเลย เลยเอาภาพ aladin มาสร้างบรรยากาศซะเลย |
ธีมของเพลงประมาณว่า "ปล่อยเวลาให้ผ่านมานานเกินไป เพราะมัวแต่ลังเล จนในที่สุดก็ต้องผิดหวัง"
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีอะไรที่อยากทำ แต่ว่าไม่ได้ทำ เพราะไม่กล้า กลัวผลลัพธ์ไม่ดี ลองทำมันเถอะครับ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก เวลามันผ่านไปได้แค่ครั้งเดียว โอกาสดีดี ก็อาจไม่ได้มีบ่อย ๆ
อย่าไปกลัวล่วงหน้าครับ แล้วก็อย่าไปคิดแทนคนอื่น เค้าจะหยั่งงั้นหรึเปล่า เค้าจะหยั่งงี้กับเราไหม เพราะสิ่งที่เรามัวแต่ไปกังวล ไปคิดว่าคนอื่นเค้าคิด มันอาจจะไม่เป็นจริงเลยก็ได้ (และผมว่าเกือบ 100% มีแต่คุณที่คิดมากอยู่คนเดียว) เสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ ครับ แหม พูดซะดีเนอะ ตัวเองก็ทำไม่ได้ 555
พล่ามมาเยอะละ ฟังเพลงกันดีกว่า กับเพลง เสียดาย ครับ
เครื่องดนตรีที่ใช้ yamaha electone el 100 กับกีต้าร์
อัดด้วย BB ปลอมเครื่องละ 2500
คุณภาพเสียงแย่ (ฝีมือคนเล่นแย่) ก็ขออภัยนะครับ หวังว่าจะชอบกัน
เพลงที่สอง เป็นเพลงที่ต่อจากเพลงแรก
เอาหล่ะสิ ในเมื่อสารภาพรักไปแล้ว ก็ต้องดำเนินการต่อไป..... ต่อไปคืออะไรดีอ่ะ
อ่อ ๆ ๆ บุกทำคะแนนสินะว่าแต่ถ้าจะจีบผู้หญิงสักคนเนี่ย จะทำยังไงดีหว่า ไอ้เราก็เคยอยู่แต่โรงเรียนชายล้วน จีบเป็นแต่ผู้ชาย เอ้ย!! ล้อเล่นนะครับคุณผู้ฟัง อย่าเข้าใจผิด แม้ว่ามันจะเคยมีอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้น่าจิ้นก็เหอะ (ไปกันใหญ่แล้ว)
เข้าเรื่อง เข้าเรื่อง เข้าเรื่องและเข้าเรื่อง อืม ๆ ต่อ ๆ
จะทำไงดีอ่ะ จีบหญิงต้องทำไง ไอ้เราก็เป็นคนประเภทเกลียดโทรศัพท์ซะด้วย ไม่ชอบคุยนาน ๆ คุยได้ สิบนาที ก็เก่งแล้ว แถมเวลาชาร์จไปคุยไป ไฟมันยังดูดหูอีกต่างหาก (ไอโฟนใครเป็นงี้มั่งป่ะครับ เพื่อถ้าของผมผิดปกติจะได้ซ่อม)
ที่อ้างมาทั้งหมดมันก็แค่ข้ออ้างของคนไม่กล้าหน่ะแหละครับ โทรไปจะคุยอะไรอ่ะ แล้วเค้าจะเบื่อไหม แล้วจะชวนไปกินข้าว หรือ ดูหนังเนี่ยนะ งุ้ย..... ทุกท่านครับ ผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนกันหน่ะแหละครับ มีเขิน มีอาย มีไม่กล้าชวนก่อน มีต้องคิดว่าจะคุยอะไรดีน้า มีต้องคิดว่าเวลาเค้าทักเอ็มมา (สมัยนั้น msn ยังพอใช้กันอยู่ไม่ได้มีแต่ facebook chat เหมือนสมัยนี้) จะพิมพ์ตอบว่าอะไร จะหยั่งงั้น หยั่งงี้ ดีไหม
เอ๊ะ!!! หรือผมเป็นผู้ชายผิดปกติ??? จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะครับ แต่ว่าความรู้สึกมันก็ทับถมกันมาก ๆ เข้า มาก ๆ เข้า จนผมเอามาแต่งเป็นเพลงได้สำเร็จ
เพลงนี้เป็นเพลงที่ยังคง concept คล้ายกับเพลงแรก เพราะตัวผมเองตั้งใจให้เป็นภาคต่อของเพลงนั้น เครื่องดนตรีที่ใช้ก็เหมือนเดิม ลักษณะเพลงก็จะคล้าย ๆ กัน คือเป็นเพลงที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ เหมือนเล่าเรื่อง ๆ นึง
เพลงนี้จะเป็นอย่างไร ไปฟังกันเลยครับ กับเพลง "จุดอ่อน"
อ่อ ๆ ๆ บุกทำคะแนนสินะว่าแต่ถ้าจะจีบผู้หญิงสักคนเนี่ย จะทำยังไงดีหว่า ไอ้เราก็เคยอยู่แต่โรงเรียนชายล้วน จีบเป็นแต่ผู้ชาย เอ้ย!! ล้อเล่นนะครับคุณผู้ฟัง อย่าเข้าใจผิด แม้ว่ามันจะเคยมีอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้น่าจิ้นก็เหอะ (ไปกันใหญ่แล้ว)
เข้าเรื่อง เข้าเรื่อง เข้าเรื่องและเข้าเรื่อง อืม ๆ ต่อ ๆ
จะทำไงดีอ่ะ จีบหญิงต้องทำไง ไอ้เราก็เป็นคนประเภทเกลียดโทรศัพท์ซะด้วย ไม่ชอบคุยนาน ๆ คุยได้ สิบนาที ก็เก่งแล้ว แถมเวลาชาร์จไปคุยไป ไฟมันยังดูดหูอีกต่างหาก (ไอโฟนใครเป็นงี้มั่งป่ะครับ เพื่อถ้าของผมผิดปกติจะได้ซ่อม)
ที่อ้างมาทั้งหมดมันก็แค่ข้ออ้างของคนไม่กล้าหน่ะแหละครับ โทรไปจะคุยอะไรอ่ะ แล้วเค้าจะเบื่อไหม แล้วจะชวนไปกินข้าว หรือ ดูหนังเนี่ยนะ งุ้ย..... ทุกท่านครับ ผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนกันหน่ะแหละครับ มีเขิน มีอาย มีไม่กล้าชวนก่อน มีต้องคิดว่าจะคุยอะไรดีน้า มีต้องคิดว่าเวลาเค้าทักเอ็มมา (สมัยนั้น msn ยังพอใช้กันอยู่ไม่ได้มีแต่ facebook chat เหมือนสมัยนี้) จะพิมพ์ตอบว่าอะไร จะหยั่งงั้น หยั่งงี้ ดีไหม
เอ๊ะ!!! หรือผมเป็นผู้ชายผิดปกติ??? จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะครับ แต่ว่าความรู้สึกมันก็ทับถมกันมาก ๆ เข้า มาก ๆ เข้า จนผมเอามาแต่งเป็นเพลงได้สำเร็จ
เพลงนี้เป็นเพลงที่ยังคง concept คล้ายกับเพลงแรก เพราะตัวผมเองตั้งใจให้เป็นภาคต่อของเพลงนั้น เครื่องดนตรีที่ใช้ก็เหมือนเดิม ลักษณะเพลงก็จะคล้าย ๆ กัน คือเป็นเพลงที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ เหมือนเล่าเรื่อง ๆ นึง
เพลงนี้จะเป็นอย่างไร ไปฟังกันเลยครับ กับเพลง "จุดอ่อน"
เริ่มจากเพลงแรก เป็นเพลงที่ใช้จีบสาวตอนม.ปลาย
อุ๊ย หลุดปากไปซะแล้วว่าเคยผ่านม.ปลาย ช่างมันเถอะครับ จะโม้เรื่องพื้นหลังของเพลงนี้ให้ฟังดีกว่า
ก็คือว่า ตอนก่อนเปิดเทอม ก็จะมีการเปลี่ยนห้อง เป็นวันแรกสุดที่เพื่อน ๆ ในห้องก็จะได้มาเจอหน้ากัน โดยต้องไปดูป้ายชื่อในห้องเก่ากันเอง ว่าใครจะได้ไปเรียนปีหน้าที่ห้องไหน
ผมก็เดินต๊อก ๆ ๆ ไปเข้าห้องของผม เมื่อเข้ามาในห้องแล้วผมก็สวนกับ"เธอ" อู้หู ผมนี่แทบสะดุดขาตัวเองเลยครับ
เพราะว่าโดนอาจารย์หน้าห้องสกัดไว้ทันที
"นี่ นักเรียน....เธอหน่ะ คนที่ใส่แว่นตาสีฟ้าหน่ะ" ครูตะโกน
"ครับผม..." ผมตัวหดเท่าแมลงสาบ
"ทำไมไม่รู้จักไปตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้วนะ ถ้าเธอไม่ไปตัดให้เรียบร้อย ชั้นจะไม่ให้เธอจ่ายค่าเทอม" อาจารย์พูดด้วยท่าทางที่เหมือนแม่ครัวที่กำลังจะตบแมลงสาบที่วิ่งผ่านจานที่เพิ่งล้าง
ผมจึงต้องรีบบึ่งจากโรงเรียนไปตัดหญ้า เอ้ย ตัดผมทันทีที่ร้านแถวสามย่าน (ปัจจุบันคงโดนจุฬาเวรคืนไปทำสวนสนุกเรียบร้อยแล้ว เสียดายร้าน จีฉ่อย ร้านขายของชำในตำนาน ว่ากันว่าร้านนี้มีทุกอย่างแม้กระทั่ง เปียโน หรือ ชุดกิโมโน 0.0 )
ระหว่างทางตอนนั้นในใจผมก็คิดว่า "เฮ้ย โชคดีแล้วเว้ย ปีนี้มีของสวย ๆ งาม ๆ ให้ดูแล้ว ไม่ห่อเหี่ยวเหมือนปีที่แล้ว อิอิ" เมื่อไปถึงร้านตัดผมครับ ก็พบว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันจากโรงเรียนเยอะมาก ไม่เป็นไร ผมก็รอครับ กว่าจะได้ตัดก็ครึ่งชั่วโมงอยู่ ตัดอีกประมาณสิบนาที
"อ๊าก สายแล้ว อาจารย์จะหนีกลับบ้านไหมเนี่ย" ผมคิดในใจ รีบบึ่งออกจากร้านตัดผมโดยที่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ (เพื่อนกลับมาด่าที่โรงเรียน เพราะต้องออกเงินให้ผม 555)
เมื่อผมกลับมา ก็ยังโชคดีครับอาจารย์ยังอยู่(แหม ตังค์เนี่ย ใคร ๆ ก็อยากรับทั้งนั้นแหละครับ) แต่ว่าผมก็ไม่พบเธอคนนั้นซะแล้ว ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกตั้งปีนึง หึหึ
แต่ว่าหนึ่งปีก็ผ่านไป โดยที่ผมแทบไม่ได้คุยกับเธอเลย เพราะเอาแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบเอนท์ (ว่าง ๆ ก็แอบนั่งมองวันละนิดจิตแจ่มใส) ช่วงนั้นจิตตกมากครับ ไม่เป็นอันทำอะไรเลย เรียนอย่างเดียว เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยได้ติดต่อ พักเที่ยงก็เล่นแต่บาสเกตบอล ระบายอารมณ์ ตอนนั้นก็เลยผอมจนเหลือแต่กระดูก (มีคนบอกมาอีกทีนะครับ) อยากเตือนทุกคนว่าอย่าทำแบบผมเลยนะครับ มันไม่ดีหรอก ชีวิตม.ปลายเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนานจริง ๆ ถ้าพลาดไปแล้ว มันก็ไม่มีทางกลับมาได้แล้วนะครับ หนังสือนะจำเป็นอยู่ แต่ว่าอย่าให้มันเป็นทุกอย่างจนลืมเพื่อนลืมสังคมนะครับ
เวิ่นเว้อมาเยอะละ เล่าต่อครับ เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือสองสัปดาห์สุดท้ายของปี ผมจึงได้เริ่มคุยกับเธอและก็นะ รู้สึกดีจนต้องสารภาพ (อะไรไปคิดเอง) ผลจะเป็นยังไง ไปฟังได้ในเพลงนี้เลยครับ
เพลง ทันเวลา
ก็คือว่า ตอนก่อนเปิดเทอม ก็จะมีการเปลี่ยนห้อง เป็นวันแรกสุดที่เพื่อน ๆ ในห้องก็จะได้มาเจอหน้ากัน โดยต้องไปดูป้ายชื่อในห้องเก่ากันเอง ว่าใครจะได้ไปเรียนปีหน้าที่ห้องไหน
ผมก็เดินต๊อก ๆ ๆ ไปเข้าห้องของผม เมื่อเข้ามาในห้องแล้วผมก็สวนกับ"เธอ" อู้หู ผมนี่แทบสะดุดขาตัวเองเลยครับ
เพราะว่าโดนอาจารย์หน้าห้องสกัดไว้ทันที
"นี่ นักเรียน....เธอหน่ะ คนที่ใส่แว่นตาสีฟ้าหน่ะ" ครูตะโกน
"ครับผม..." ผมตัวหดเท่าแมลงสาบ
"ทำไมไม่รู้จักไปตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้วนะ ถ้าเธอไม่ไปตัดให้เรียบร้อย ชั้นจะไม่ให้เธอจ่ายค่าเทอม" อาจารย์พูดด้วยท่าทางที่เหมือนแม่ครัวที่กำลังจะตบแมลงสาบที่วิ่งผ่านจานที่เพิ่งล้าง
ผมจึงต้องรีบบึ่งจากโรงเรียนไปตัดหญ้า เอ้ย ตัดผมทันทีที่ร้านแถวสามย่าน (ปัจจุบันคงโดนจุฬาเวรคืนไปทำสวนสนุกเรียบร้อยแล้ว เสียดายร้าน จีฉ่อย ร้านขายของชำในตำนาน ว่ากันว่าร้านนี้มีทุกอย่างแม้กระทั่ง เปียโน หรือ ชุดกิโมโน 0.0 )
ระหว่างทางตอนนั้นในใจผมก็คิดว่า "เฮ้ย โชคดีแล้วเว้ย ปีนี้มีของสวย ๆ งาม ๆ ให้ดูแล้ว ไม่ห่อเหี่ยวเหมือนปีที่แล้ว อิอิ" เมื่อไปถึงร้านตัดผมครับ ก็พบว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันจากโรงเรียนเยอะมาก ไม่เป็นไร ผมก็รอครับ กว่าจะได้ตัดก็ครึ่งชั่วโมงอยู่ ตัดอีกประมาณสิบนาที
"อ๊าก สายแล้ว อาจารย์จะหนีกลับบ้านไหมเนี่ย" ผมคิดในใจ รีบบึ่งออกจากร้านตัดผมโดยที่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ (เพื่อนกลับมาด่าที่โรงเรียน เพราะต้องออกเงินให้ผม 555)
เมื่อผมกลับมา ก็ยังโชคดีครับอาจารย์ยังอยู่(แหม ตังค์เนี่ย ใคร ๆ ก็อยากรับทั้งนั้นแหละครับ) แต่ว่าผมก็ไม่พบเธอคนนั้นซะแล้ว ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกตั้งปีนึง หึหึ
นี่หล่ะครับร้าน จีฉ่อย ในตำนาน
(ขอบคุณ http://atcloud.com/stories/45350)
|
นี่ครับ สามย่านฟันแฟร์ |
แต่ว่าหนึ่งปีก็ผ่านไป โดยที่ผมแทบไม่ได้คุยกับเธอเลย เพราะเอาแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบเอนท์ (ว่าง ๆ ก็แอบนั่งมองวันละนิดจิตแจ่มใส) ช่วงนั้นจิตตกมากครับ ไม่เป็นอันทำอะไรเลย เรียนอย่างเดียว เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยได้ติดต่อ พักเที่ยงก็เล่นแต่บาสเกตบอล ระบายอารมณ์ ตอนนั้นก็เลยผอมจนเหลือแต่กระดูก (มีคนบอกมาอีกทีนะครับ) อยากเตือนทุกคนว่าอย่าทำแบบผมเลยนะครับ มันไม่ดีหรอก ชีวิตม.ปลายเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนานจริง ๆ ถ้าพลาดไปแล้ว มันก็ไม่มีทางกลับมาได้แล้วนะครับ หนังสือนะจำเป็นอยู่ แต่ว่าอย่าให้มันเป็นทุกอย่างจนลืมเพื่อนลืมสังคมนะครับ
เวิ่นเว้อมาเยอะละ เล่าต่อครับ เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือสองสัปดาห์สุดท้ายของปี ผมจึงได้เริ่มคุยกับเธอและก็นะ รู้สึกดีจนต้องสารภาพ (อะไรไปคิดเอง) ผลจะเป็นยังไง ไปฟังได้ในเพลงนี้เลยครับ
เพลง ทันเวลา
แนะนำตัวกันก่อน
สวัสดีครับ ผมชื่อ พี นะครับ
อายุเท่าไหร่ก็....ไม่บอกละกันครับ เอาเป็นว่ายังเด็กอยู่ : P
ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบเสียงดนตรี (เนื่องจากโดนแม่บังคับเรียนตั้งแต่เล็ก ๆ ประกอบกับการที่แม่ให้ฟังเพลงคลาสสิกตั้งแต่เด็ก ๆ ) ก็เลยทำให้ผมสนใจในการเล่นดนตรีตลอดมา
ผมชอบฟังเพลงครับ...แต่ว่าเป็นเพลงที่ดังเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ขอบอกว่าเพลงสมัยนี้ ผม "แทบไม่รู้จัก" จะรู้จักก็แต่เพลงที่เปิดตามวิทยุสยามสแควร์ โฆษณาบนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพราะผมต้องไปโรงเรียนแถวสยาม แล้วผมยังชอบฟังเพลงบรรเลงอีกต่างหาก (ไม่ฟังคนร้องเพราะอิจฉา เสียงเพราะกว่าตู)
หลายคนก็อาจจะสงสัยว่า แล้วผมจะแต่งเพลงได้ยังไง ผมก็เลยจะบอกว่า แต่งได้สิ แต่เพลงของผม มันก็แค่ ผิดยุคผิดหู มีสไตล์ต่างไปจากเพลงสมัยใหม่เท่านั้นเอง 5555 แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เพราะหรอกน้า(มั้ง)
ที่ผมทำ blog นี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะนำเสนอผลงานของผม เป็นเพลงที่บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผมเคยผ่าน หรือ จินตนาการขึ้น อยากให้คนอื่น ๆ ได้ชม ได้ฟัง ผลงานของผมบ้าง (ไม่งั้นจะแต่งไปทำไมละครับ ช่วยกันดูช่วยกันฟังหน่อยนะ กระซิก ๆ )
สิ่งสุดท้ายที่อยากจะบอกคือ ผมเป็นคนชอบเล่นดนตรี(มาก) แต่ "ขี้เกียจซ้อม" เพราะฉะนั้น เพลงที่เห็นส่วนมาก เป็นเพลงที่เล่นค่อนข้างจะสด(ผ่านการซ้อมไม่เกิน 1 ชั่วโมง) ไม่มีการเขียนโน๊ต (แต่มีเนื้อนะ) ก็เลยอาจจะทำให้ดูพื้น ๆ ไปบ้างแต่ที่สำคัญที่สุดคือ มัน "สะดุด" บ้างเป็นบางครั้งก็อย่าถือสากันเลยนะครับ
หวังว่าจะชอบผลงานของผมกันนะครับ
ปล.ถ้าผู้ชมท่านไหนชอบเพลงไหน ก็โปรดเอาไปแผยแพร่ต่อด้วยนะครับ จะขอขอบคุณมาก ^^
ปล.2 ถ้าอยากแสดงความคิดเห็นติชม ก็ได้เต็มที่เลยนะครับ (แต่ขอสร้างสรรค์และเป็นไปได้ นะครับ ไม่ใช่ให้ผมไปเกิดใหม่หน้าตาจะได้ดีกว่านี้อะไรงี้ 555)
ปล.3 ถ้าอยากให้ผมแต่งเพลงให้ หรือ ใส่คอร์ดให้เพลงที่คุณเขียนเนื้อ ก็บอกโจทย์มาได้เลยนะครับ ผมยินดี(จะได้ฝึกฝีมือด้วย)
ขอบคุณครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)