สถานะ

ติดตามเพลงและผลงานใหม่ๆ ของผม หรือเข้ามาคุยกันแบบเรียลไทม์ได้ทางเพจ www.facebook.com/notekeyboard นะครับ
*สำหรับคอร์ด ที่เห็นในโน้ตนั้น สำหรับมือซ้าย อยากรู้ว่าต้องกดโน้ตอะไรบ้าง กดที่นี่ แล้วใส้ชื่อคอร์ดที่ต้องการรู้ได้เลยนะครับ

ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฝันมันฟ้อง

     ผมคิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินมาว่า สิ่งที่มันอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเรา หรือ เคยกระแทกความทรงจำของเรานั้น แม้เราจะคิดว่าเราลืมมันไปแล้ว เลิกคิดถึงมันได้แล้ว แต่ถ้ามันมีความหมายกับเราจริง ๆ เราก็ลืมมันไม่ได้หรอก


     ผมเริ่มเชื่อแล้วครับ เพราะไอ้สิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองลืมไปจากความทรงจำเรียบร้อยแล้ว มันก็กลับมาหลอกหลอนผมบ่อย ๆ เวลาที่ผมหลับ ใช่ครับ มันมาในความฝัน
ภาพ Midsummer night dream จาก http://www.centennialparklands.com.au




     เรื่องแรกก็คือ ผมถูกหมากัด-*- นั้นแหละครับ ผมเป็นคนไม่กลัวหมามาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งผมโดนหมากัดเข้า (ไม่ใช่ ปอมปอม งับเล่น ๆ นะครับ ไอ้ตูบข้างถนนนี่แหละครับ กระโดดงับขาผมซะเต็มเขี้ยว) ผมก็คิดว่าผมยังไม่กลัวหมาเหมือนเดิม แต่เวลาที่ผมเหนื่อย ๆ หรือกังวลอะไรสักอย่างครับ ผมจะฝันว่าโดนหมากัด แล้วในฝันผมก็ตกใจมากเสียด้วย คงเป็นเพราะว่าประสบการณ์จากการถูกหมากัดมันเลวร้ายสุด ๆ มั่งครับ ไอ้หมากัดหน่ะ มันเจ็บนิดเดียวครับ แผลลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตรเอง ไม่น่ากลัวเล้ยยยยย
ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยเลย ทำเราทรมานเป็นเดือน 55555


     แต่ไอ้ที่น่ากลัวและทรมาณกว่านั้นมากคือการรักษาครับ วันแรกที่ผมโดนกัดนั้น ต้องไปฉีดเซรุ่มรอบแผล ประมาณแผลละ 4 เข็มครับ โดนวัคซีนที่ไหล่อีก 2 เข็มครับ สรุปวันนั้นผมโดนประมาณ 10 เข็มครับ กลายเป็นหมอนปักเข็มไปเลยทีเดียว


     เท่านั้นยังไม่พอ ผมต้องไปล้างแผลทุกวันครับ แผลการถูกสุนัขกัด เค้าจะไม่ให้แผลปิดครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบติดเชื้ออยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นทุกวัน แผลสด ๆ ของผมก็จะถูกคุณพยาบาลคนสวยเอาสำลีกระซวกเอาเกลืดเลือดออกจนหมด (ไม่ให้แผลตกสะเก็ด) ต้องรอจนเนื้อเติมแผลขึ้นมาให้เต็มเอง.....


     ลองคิดดูก็แล้วกันครับ แผลผมลึกประมาณ 1 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ร่างกายจึงจะสร้างเนื้อทดแทนขึ้นมาได้ ผมจะบอกให้ครับ 1 เดือนเต็ม ๆ ที่ผมต้องโดนสำลีกระซวกแผลของผมทุกวัน ๆ ๆ แผลผมไม่ได้มีแผลเดียวด้วยนะครับ จะบอกให้ครับ โค ตะ ระ ทรมานเลย จนเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นพวกมาโซไปแล้วเนี่ย (พวกชอบความเจ็บปวด เข้ากันได้ดีกับพวก ซาดิสม์)
     ด้วยเหตุนี้ละมังครับ แม้ผมจะพูดว่าไม่กลัวหมา ไม่กลัวหมา แต่เวลาเครียดทีไร ฝันเห็นหมาทุกทีมันเป็นแผลเป็นฝั่งอยู่ทั้งในขาและในใจผมไปแล้วมั้ง


     เอาหล่ะครับ พูดถึงหมากลบเกลื่อนกันมาเยอะละ ประเด็นที่สำคัญของเพลงในตอนนี้คือคนครับ ก็คือว่าช่วงนั้นเป็นตอนปิดเทอมใหญ่ พอดีผมทำงานห้องเชียร์ จึงต้องทำงานค่อนข้างหนัก และค่อนข้างเหนื่อย พอถึงกลางคืน หัวถึงหมอน ก็จะสลบไปอย่างง่ายดาย แต่เรื่องหลังจากนั้นน่ะสิ นานมาแล้ว....
ไม่ใช่แล้วครับ




     มีหลายคืนมาก ที่ผมมักจะฝันถึงเหตุการณ์สมัยก่อน (นานมาก ตั้งแต่สมัย มัธยมต้น) มันเป็นเอิ่ม ความรัก(หรือเปล่า) หรือความผูกผัน(ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ)ของเพื่อนต่อกัน แต่ว่ามันไม่มีทางเป็นเป็นได้ ยังไงก็ไม่ได้
     ผมคิดว่าตัวเองลืมไปหมดแล้ว (ตั้ง 5 ปีแล้วนะตั้งแต่ม.ต้น) แต่ทำไมเวลาที่เหนื่อย ๆ เครียด ๆ แล้วนอน นอกจากจะเจอน้องหมามางับขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะฝันถึงเขาอยู่เสมอ  บรึ๊ย ช่างมันเถอะ เอาความรู้สึกตรงนี้มาแต่งเพลงดีกว่า กับเพลงนี้ครับ เพลง ในฝัน



วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นาน ๆ ที มีคนคิดถึงบ้างก็ดีเหมือนกัน

     เคยไหมที่มีความรู้สึก อยากเข้มแข็ง อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากอยู่ได้ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ต้องพิ่งใคร ๆ อยากมีคุณค่าในสายตาคนอื่น อยากมีประโยชน์ต่อสังคม


     ผมว่าหลาย ๆ คนคงเคยมีความรู้สึกแบบนี้นะครับ โดยเฉพาะเด็กที่กำลังโต (อย่างผม ^^) ก็ย่อมอยากปีกกล้าขาแข็ง บ้างเป็นธรรมดา อะไรกันจะพึ่งแต่พ่อแม่ตลอดไปเลยรึไง ทำให้หลาย ๆ คนพยายามที่จะหาเป้าหมายเพื่อก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จนั้น หลายคนก็มีหลายวิธี อาทิ ตั้งใจเรียนให้โหด ๆ จะได้ติดคณะดีดีมีงานทำแน่นอน หารายได้พิเศษ ไม่ว่าจะเป็น ทำงาน part-time หรือ สอนพิเศษ แม้กระทั่งทำธุรกิจเครือข่าย เพื่อให้ได้มาซึ่ง เงิน หรือ ผลตอบแทนอื่น ๆ ซึ่งทำให้ตัวเองดูมีคุณค่าขึ้นมา


     แน่นอนครับ การทำอะไรทุกอย่างย่อมต้องการการทุ่มเท สละแรงกาย แรงใจ เวลา จะอาจทำให้หลาย ๆ คนมัวแต่มองเป้าหมายของตนเอง จนลืมสังเกต ใส่ใจ สิ่งรอบข้างใกล้ ๆ ตัวไปบ้าง


     ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีเป้าหมายไว้ให้พุ่งชน (กระทิงแดงเปล่าหว่า) และผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ตัวเองได้เลิอกที่จะทำแล้ว ผมคิดว่า คนเรามันจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีประโยชน์ต่อสังคม ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผมก็เลยมักจะบ้างานจนไม่ค่อยได้สนใจใครเท่าไร โดยเฉพาะตอนสอบ ENT นี่ผมบ้าเรียนมากแทบไม่ใส่ใจเพื่อน ๆ เลย(เพื่อนมันบอกว่าผมเปลี่ยนไปนะครับ ถึงได้รู้)


     ในตอนนั้นในใจมันก็เหงานะครับ การพยายามสร้างคุณค่าให้ตัวเอง แต่กลับลืมใส่ใจคนรอบข้าง จนคนรอบข้างก็ลืมใส่ใจเราไปแล้วเหมือนกัน (กลายเป็นมนุษย์โลกลืม) ผมก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไป


     จนกระทั่งวันหนึ่ง โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือ ผมก็กำลังจะรับด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อมองไปที่เบอร์คนโทรมา ผมก็สะอึก เพราะคนโทรมาคือคนที่ผมเคยใส่ใจ และห่วงใยความรู้สึก ก่อนที่ผมจะมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้ต้องทำคือ "ENT ให้ติด" เธอโทรมาถามผมเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่อยเปื่อย ผมก็งงว่า เอ๊ะ จะโทรมาทำไมถ้าไม่มีเรื่องจะถามเป็นสาระ คำตอบของเธอทำผมอึ้งไปเลย "เพราะคิดถึง....."


     อันที่จริงผมก็คิดถึงเธอมากเหมือนกัน แต่ว่ามัวแต่ทำนู้นทำนี่ จนไม่ได้โทรหาเลย (ที่จริงก็เป็นเพราะเกลียดโทรศัพท์ด้วยแหละ) พอคุยปุ๊บ ก็ไม่อยากวางสายเลย เพราะมันทำให้ผม "หายเหงา"ลงได้


     มันก็เลยทำให้ผมได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง มันจะไปมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าเราพยายามมีคุณค่าในสายตาคนอื่น แต่กลับลืมสิ่งสำคัญที่อยู่กับตัวเองไป มัวแต่ทำงานจนลืมคนที่ห่วงใยเราไป แล้วก็มาตีโพยตีพายว่า อุตส่าห์ทำงานแทบแย่ แต่ไม่มีใครสนใจ เหงา ขาดความอบอุ่น ก็เพราะเรานี่แหละ ที่ลืม "ใส่ใจ" เขาก่อน


     ขอบคุณมากนะ ที่โทรมาวันนั้น ที่บอกว่าคิดถึง แม้จะนาน ๆ ที ก็เถอะ





เพลงนี้ก็แต่งมาจากเรื่องที่พล่ามไปด้านบนนั้นแหละครับ แต่ก็ดัดแปลงนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อความน่ารัก(เหรอ) กับ ความคล้องจอง


เพลงนี้ใช้วิธีแต่งทำนองด้วยโปรแกรม Sibellius6 ซึ่งเป็นโปรแกรมเขียน Score เพลงในรูปแบบโน๊ตดนตรีสากล (ตอนหน้าจะเอามาแจก) แล้วใช้ iPhone ในการอัดวีดีโอทั้งหมด รวมทั้งเสียงคนร้อง
จากนั้้นใช้โปรแกรม vegas pro ในการ mix เสียงและภาพเข้าด้วยกัน(ถ้ามีโอกาสจะแจกครับ)

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดอกฟ้ากับหมาวัด

     จากหัวข้อในวันนี้เรื่อง ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วว่า

เพลงต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร 

"ดอกฟ้ากับหมาวัด"

หลายคนเคยได้ยินคำนี้ 

มันเอาไว้เปรียบเปรยผู้ชายกับผู้หญิงที่มีทุกอย่างดีกว่าชายคนนั้น

ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชื่อเสียง ชาติตระกูล ความมั่งคั่ง 

คนไทยเรานี้เก่งนะครับ

สร้างคำพังเพย

"โดน"




     เพลงนี้แต่งขึ้นเล่น ๆ สนุก ๆ ตามรู้สึกที่ครั้งหนึ่งผมมีนั้นแหละครับ สังคมมหาวิทยาลัย ก็มีคนจากหลายที่มารวมตัวกัน ย่อมต้องมี สาว Hi-so เป็นธรรมดา ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบความ Hi-so อะไรพวกนี้หรอกครับ แค่เห็นสาว ๆ พวกนั้นแล้วเจริญหูเจริญตาดี ก็เลยคิดจะจีบแต่ในฝันนั้นแหละครับ ก็สารรูปผมมัน.....555 ก็เหมือนหมาวัดนั้นแหละครับ ถ้าจะเปรียบพวกเธอเป็นดอกฟ้า 555 แต่หมาบางตัวก้มีความสามารถเด็ดดอกฟ้ามาเชยชมได้นะ น่าชื่นชมในความสามารถ ส่วนตัวผมขอตัวไปคุ้ยขยะหากระป๋องต่อไปดีกว่า

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องของ Flamenco

     เนื่องจากผมเป็นคนที่ชื่นชอบเพลงจังหวะลาติน ก็เลยพลอยหลงไหลศิลปะแบบของชาวสเปนไปด้วย หนึ่งในศิลปะขึ้นชื่อของชาวสเปนก็คือ Flamenco Dance ซึ่งก็ทำให้เกิดการดีดกีต้าร์แบบ Flamenco ซึ่งเป็นวิธีการดีดกีต้าร์ที่ผมชอบมาก วันนี้เลยขอพูดถึงเรื่อง Flamenco แล้วกันครับ

ภาพการเต้นฟลาเมนโก้

     หลายคนคงสงสัยว่า เอ๊ะ!!! Flamenco คืออะไร เกี่ยวอะไรกับนกฟลามิงโก้หรือเปล่า(ขำ) วันนี้ผมก็จะขอนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
   
นกฟลามิงโก้

     Flamenco เป็นภาษาสเปน หมายถึง ดนตรีประเภทหนึ่ง รู้จักกันดีในความเร็ว และซับซ้อน และระบำประเภทหนึ่ง ซึ่งเต้นโดยใช้เท้าให้เกิดเสียง แต่ต้นกำเนิดนั้นไม่ปรากฏชัดแจ้งนักว่าอยู่ในสมัยไหน ส่วนคำเรียกระบำชนิดนี้ว่าFlamenco นั้น ตั้งชื่อตามนก Flamingo (เห็นไหม!!! มันเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้จริง ๆ ด้วย) ระบำ Flamenco เป็นระบำที่รวบรวมเอาดนตรีที่ซับซ้อนและประเพณีวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน

     ถ้าพิจารณาวัฒนธรรมของสเปนโดยทั่วไปแล้ว ระบำ Flamenco ก็จะมีต้นกำเนิดมาจากภาคที่หนึ่ง คือ Andalucia  (สเปนตอนใต้ เมืองใหญ่ๆคือซาบิญ่า กรานาด้า คอร์โดบา)
    อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะ Extremadura และ Murcia ก็นำมาซึ่งการพัฒนาระบำ Flamenco ประกอบเพลง และนักเต้น Flamenco ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากล้วนถือกำเนิดมาจากดินแดนของรัฐอื่นๆ


    เป็นที่รู้กันดีว่า Flamenco นั้น ถือกำเนิดจากวัฒนธรรมอาระบิก อันดาลูเชียน เซฟาร์ดิก และยิปซี ซึ่งพบมากในAndalucia ก่อนและหลังยุคReconquest  (ยุคที่คริสเตียนรบเพื่อชิงดินแดนกลับคืนจากมุสลิม ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๘-๑๕ หรือพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๒๐)


    อิทธิพลของชาวละตินอเมริกาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวคิวบา ล้วนมีส่วนสำคัญต่อรูปแบบของระบำ Flamenco ประกอบเพลง ระบำ Flamenco นั้นจะต้องเล่นควบคู่ไปกับกีตาร์ Flamenco ด้วย 
ครั้งหนึ่ง ต้นกำเนิดของ Flamenco เกิดขึ้นที่ Andalucia ในรูปแบบของวัฒนธรมกลุ่มย่อย ศูนย์กลางอยู่ที่เมือง เซวีล คาดีส และบางส่วนของมะละกา รู้จักกันในนาม Baja Andalucía หรือ Lower Andalusia ภายหลังกระจายไปยังส่วนที่เหลือของ Andaluciaไปรวมกันและเปลี่ยนแปลงไปเป็นการแสดงท้องถิ่น เมื่อความนิยมระบำ Flamencoเพิ่มขึ้น วัฒนธรรมทางดนตรีท้องถิ่นของสเปนชนิดอื่นๆ (เช่น Castilian traditional music) ล้วนมีอิทธิพล และได้รับอิทธิพลจากระบำ Flamenco ด้วย
ท่าทางในการนั่งดีดกีต้าร์ฟลาเมนโก้ แบบปัจจุบัน จะนั่งไขว่ห้าง(แบบดั้งเดิมจะมีท่าคล้ายการดีดกีต้าร์คลาสิก )
ท่าทางในการยืนดีด (เมื่อยน่าดู)

     ระบำ flamenco ไม่มีท่าเต้นที่ตายตัว นักเต้นรำจะดัดแปลงลีลาจากท่าเต้นพื้นฐาน โดยยึดตามจังหวะกีตาร์และอารมณ์ของตัวนักเต้นเอ การร้องเพลงก็เป็นส่วนสำคัญของศิลปะ flamenco และส่วนต่างๆของแคว้น Andalucia จะมี cante (เพลง) หลายสไตล์
(ขอบคุณข้อมูลจากเว๊ป Dek-d)

     ตัวผมเองชอบการดีดกีต้าร์แบบนี้มาก แต่ว่าผมไม่เคยได้เรียนกีต้าร์ที่ไหนเลย จึงไม่มีผู้แนะนำวิธีการดีดที่ถูกต้องให้ แต่ว่า เด็กไทยสมัยนี้โชคดีครับ ที่เรามีอาจารย์ กู (google) และ อาจารย์ ยู (youtube)
ผมจึงได้ลองศึกษาวิธีดีดกีต้าร์แบบ Flamenco และก็พบว่า มันต้องอาศัย skill อย่างมาก ในการดีดให้เพราะ ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังทำไม่ได้ ผมจึงลองเปลี่ยนมาใช้ อูคูเลเล่ เล่นดู ซึ่งมีเทคนิคที่ง่ายกว่ามากในการดีด (เนื่องจากคอของอูคูเลเล่มันเล็กกว่าจึงดีดได้เร็วกว่า) ลองชมในคลิปวีดีโอสอนดูละกันนะครับ
ผมฟังเสียงอีตานี่พูดประโยคซ้ำ ๆ กันจนครบทั้ง 20 กว่าตอนครับ(เขาจะแนะนำตัวตอน intro แต่ละตอน) ฝันถึงเขาเลยครับ พับผ่าสิ..... ขอบคุณนะครับ แต่.... ผมก็ยังเล่นไม่ดีอยู่ดี

เอาแบบง่าย ๆ กันดีกว่า กับเครื่องดนตรีที่มาแรงเป็น คริสปี้ครีม ของวงการดนตรีไทย "อูคูเลเล่" นั้นเอง


......ผมหาคลิปอันที่เป็นตัวสอนผมไม่เจอแล้วครับ สงสัยเขาลบไปแล้ว แต่ว่าทุกท่านก็ลองหาดูได้นะครับ มันมีหลายสไตล์ในการดีด ว่าแล้วก็ขอนำเสนอเพลงที่ผมแต่งขึ้น หลังจากได้เรียนการดีดฟลาเมนโก้บนอูคูเลเล่ ของผมเลยแล้วกันคร้าบ
     เพลงนี้ผมได้แรงบันดาลใจมากจากเพลง ๆ หนึ่งของนักร้องชื่อ Helmut Lotti เขาเป็นนักร้องในดวงใจผมเลยครับ 5555 คนอะไรร้องเพลงก็เพราะ แถมร้องได้หลายภาษาอีกต่างหาก เพลงสไตล์นี้จะมีความรู้สึกที่ค่อนข้าง Passionate แบบว่าไม่อยากแปลอ่ะครับ อธิบายไม่ค่อยถูก ซึ่งผมก็พยายามใส่ความรู้สึกแบบนี้ลงไปในเพลง(แต่ว่ามันขัดกับบุคคลิกผมซึ่งเป็นคนชิว ๆ )
     เอาละครับ พล่ามกันมามากแล้ว ลองฟังดูกันเลยแล้วกัน กับเพลง I will fight my way to you


วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เที่ยวเมืองจีน เก็บเรื่องมาเล่า

     พอดีช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเมืองจีนครับ ไปเที่ยวที่ อุทยาน จิ่ว ไจ้ โกว (สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง HERO หนังในตำนานที่ถ้าใครเรียนเกี่ยวกับภาพยนต์ก็น่าจะรู้จัก) นับว่าเป็นการไปเมืองจีนครั้งแรกในชีวิตของผม หลังจากการบ่ายเบี่ยงมาตลอดนับ 10 ปี (แม่บอกว่าเคยชวนมาตั้งนานมาก แต่ไม่มีใครยอมไป) เพราะอะไรน่ะหรือครับ ผมก็ว่าเป็นเหตุผลเดียวกับที่หลาย ๆ ท่านคิดนั้นแหละ ครับ ไปฟังกันเลย
บิน ๆ ๆ ไปกับการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า


     เหตุผลแรกคือ "ห้องน้ำ" มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมามากมายว่า ห้องน้ำเมืองจีนนั้น "สุดจะบรรยาย" พี่โน้ตอุดมเค้าก็เคยเล่าไว้ ผมจะบอกให้เลยครับ ว่าตอนนี้ ห้องน้ำส่วนใหญ่ ก็ยังเป็นแบบที่พี่โน้ตเล่าอยู่  (หาดูได้ในเดี่ยว 8 จะอุดหนุนแผ่นพี่เค้า หรือ ดูยูทูปฟรีก็เป็นเรื่องของท่าน 555) ถึงแม้ว่าหลายต่อหลายคนจะบอกว่ามันพัฒนาแล้ว ก็เถอะครับ ที่พัฒนาหน่ะ มันเฉพาะบริเวณที่รับนักท่องเที่ยวครับ ของชาวบ้านทั่ว ๆ ไป มันก็ยังร้ายกาจเหมือนเดิม ลูกทัวร์เราจะทรมานกันมากเมื่อต้องเข้าห้องน้ำปั้ม ไกด์ท้องที่ก็ต้องเข้าไปดูลาดเลาให้ก่อน แล้วก็จะออกมาบอกเราประมาณว่า ห้องที่สองเข้้าได้ แต่อย่าเผลอมองเข้าไปในห้องแรกเลยนะ อุดจมูกให้ดีด้วย (ขออภัยหาบางท่านกำลังทานข้าว) ถ้าเผลอมองเข้าไปในห้องแรกนะครับ จะเห็นอะไรทุกท่านก็น่าจะรู้อยู่ มันทำให้บางคนถึงกับกินข้าวไม่ลงทีเดียว แต่ว่าถ้าเป็นห้องน้ำในโรงแรม ก็ถือว่าดีตามมาตรฐานสากลแล้วครับ (ตรงนี้เลยทำให้ผมพออยู่รอดไปได้)


     อีกเรื่องหนึ่งที่หลาย ๆ ท่านไม่ชอบในเมืองจีนก็คือ "อาหาร" ครับ ผมนี่ไม่ชอบข้อนี้มาก ๆ มากกว่าห้องน้ำที่สุดTEEN เสียอีกครับ คือ อาหารแบบว่า ทุกอย่างจะยืนพื้นด้วยส่วนประกอบหนึ่ง คือ "น้ำมัน" ครับ อาหารทุกอย่างที่เสริฟบนโต๊ะครับ มันเยิ้ม แม้กระทั่ง น้ำแกง!!! สิ่งนี้แสลงใจคนกลัวอ้วนอย่างผมที่สุดเลยหล่ะครับ อีกอย่างก็คือ อาหารที่นี่ ถ้าเป็นอาหารที่จืด อย่างแกงจืด ก็จะจืดอย่างกับกินน้ำเปล่ามัน ๆ เลยครับ ถ้าเป็นอาหารที่มีรสเค็ม ก็จะเค็มจัด ขนาดพริกดองนะครับ ผมจะกินแก้เลี่ยน ก็แทบสำลัก พริกมันดองน้ำส้ม หรือ ดองน้ำปลากันแน่ฟะเนี่ย (- -")


     พูดถึงสิ่งที่ไม่ประทับใจมาแล้ว คราวนี้จะขอพูดถึงสิ่งที่ประทับใจบ้าง ก่อนอื่นเลย ก็คือไกด์ท้องที่ครับ ปกติเวลาที่เราไปเมืองจีนแล้ว จะต้องมีไกด์ท้องที่ ซึ่งทางรัฐบาลจะจัดไว้ให้ดูแลคณะทัวร์เรา ปกติการไปเที่ยวจีนแบบทัวร์ จะถูกกำหนดให้แวะร้านของฝาก พวก หยก บัวหิมะ อะไรเงี้ยครับ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็บอกได้เลยครับว่า ไม่อยากซื้อแต่อย่างได้ แต่ว่าก็ต้องแวะถึง 5 ที่ครับ ผมเคยถามว่า ถ้าไม่แวะจะเกิดอะไรขึ้น ไกด์ก็บอกว่า ไม่แวะไม่ได้ครับ คนขับรถจะไม่ยอมขับต่อหากไม่แวะร้านช็อป แล้วการแวะช็อป ก็ต่อมีเวลานะครับ ถ้าแวะไม่ถึงหนิ่งชั่วโมง คนขับไม่เปิดประตูให้ขึ้นรถ อะไรประมาณนี้เลยครับ แต่ว่าครั้งนี้ คณะทัวร์ของผม จ่ายเงินรัฐบาลเพิ่มไปแล้วเป็นเงินค่่า "ไม่แวะช็อปปิ้ง" ครับพวกเราก็เลยไม่เจอปัญหาข้อนี้
"บัวหิมะ" สิ่งที่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร


     เข้าเรื่องไกด์ท้องที่ต่อ ไกด์ท้องที่คนนี้เป็นผู้ชาย เรียนปริญญาตรี วิชา ภาษาไทย เลยครับ เขาเล่าให้ฟังว่า ที่นี้ การเรียนภาษาไทย เป็นทีนิยมมากกว่าภาษาอังกฤษอีกนะครับ เพราะว่าภาษาไทย เรียนมาแล้ว หางานง่ายกว่ามาก ภาษาอังกฤษคนเรียนได้มีเยอะ แข่งขันสูง และนักท่องเที่ยวที่พูดภาษาอังกฤษ จะมีน้อยครับ ไกด์คนนี้ แตกฉานภาษาไทยระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ อายุแค่ 27 ปี กลับรู้สำนวน รู้คำไทยที่ไม่น่ามีการสอนในโรงเรียน (คำประเภทไหนทุกท่านคงรู้ดี) เค้าบอกว่าลูกทัวร์นี่แหละครับ เป็นคนสอน!!! ไกด์คนนี้ดูแลคณะทัวร์เราดีมากครับ เล่าเรื่องอะไรต่าง ๆ ก็สนุกดี ฟังแล้วไม่เบื่อ และที่สำคัญที่สุด เขา "เข้าข้างพวกเราคนไทย" ครับ เวลามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเดินทาง เขาจะเข้าข้างพวกเราเสมอ ไม่งี่เง่าเหมือนไกด์บางประเทศที่บางครั้งรวมหัวกันเอาเปรียบพวกเราเสียด้วยซ้ำ
     เขาบอกว่า เขาชอบประเทศไทย เวลาที่มีกลุ่มทัวร์จีนออกมาท่องเที่ยว เขาก็ต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทัวร์จีนเช่นกัน เขาเล่าว่าคนจีนชอบเที่ยวประเทศไทยมากครับ ที่ ๆ คนจีนชอบไปก็คือ พัทยา ภูเก็ต กทม.ครับ (เหมือนฝรั่งเลยเนอะ มาถึงก็มาดูของแบบเดียวกับฝรั่งแหละครับ)


     พูดถึงการท่องเที่ยวบ้าง การเดินทางครั้งนี้คณะทัวร์ผม มาเที่ยว อุทยาน จิ่ว ไจ้ โกว มาดูใบไม้เปลี่ยนสี (ตอนช่วง กลาง ๆ ตุลาคมจะสวยที่สุดซึ่งผมก็ไปตอนนั้นพอดี) ดูทะเลสาบหลากสี และการเดินทางครั้งนี้ใช้ รถทัวร์ ทั้งหมด (ยกเว้นตอนมาจากไทย นั้งเครื่องบินมานะครับ) จึงใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการนั่งรถนานมาก เพราะตัวอุทยานอยู่ไกลครับต้องขึ้นเขาไปสูงมาก ของดีก็งี้แหละครับอยากจะดูต้องอดทน แต่อันที่จริงก็มีเครื่องบินไปถึงอุทยานเลยเหมือนกันนะครับ แต่กรุ๊ปทัวร์ส่วนใหญ่จะไม่ชอบ เนื่องจาก ไฟลท์ดีเลย์ง่าย และบ่อย และทีนะนานมากครับ เพราะถ้าภูมิอากาศไม่ดีเขาจะไม่บิน บางทีบินไปแล้วบินกลับก็มี บนนั้นหมอกเยอะครับ แล้วที่จอดก็แคบ จึงต้องชัวร์เท่านั้นถึงจะลง บางทีดีเลย์กัน 6 ชม.บางทีดีเลย์เป็นวัน นั่งรถถึงแม้จะกินเวลามาก แต่ก็ถึงแน่นอนกว่า กำหนดเวลาได้ครับ การนั่งรถก็มีดีอยากหนึ่งครับ คือการได้เห็นทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งต้องบอกเลยว่า สวยมาก ๆ
ใบไม้เปลี่ยนสี และทะเลสาบ ความงามสองข้างทางที่ ฝรั่งคงเห็นบ่อย(ใบไม้เปลี่ยนสี) เลยไม่ค่อยมาเที่ยวกัน
     บริเวณอุทยานจิ่วไจ้โกว นั้น เดิมทีเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองทิเบต แต่เมื่อรัฐบาลมาทำอุทยาน ก็สร้างที่อยู่ใหม่ให้ และอพยพคนบริเวณนั้นออกมา เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติไว้ (แอบอยากให้รัฐบาลไทยเด็ดขาดแบบนี้บ้าง สร้างที่ให้ใหม่ แล้วเวรคืนที่เก่าไปเลยแต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะรัฐบาลไทยเราไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเหมือนรัฐบาลจีน) ของแปลกบริเวณนั้น ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์จากจามรี ซึ่งเป็นวัวชนิดหนึ่ง ทั้งหวีจากเขาจามรี เนื้อจามรี ซึ่งจะหาไม่ได้ที่บริเวณอื่น (นมมันเขาไม่กินนะครับ เขากินนมแพะกันแทน)
ตัวจามรี


     เมื่อเราได้เข้าไปในบริเวณอุทยาน ก็จะมีรถนำเที่ยวครับ เป็นรถที่ใช้ไฟฟ้า (เหมือนรถป็อพของจุฬา แต่ว่าดูแข็งแรงกว่าเยอะครับ ไต่เขาได้ เวลาวิ่งไม่กระตุกจนต้องคว้าเพื่อนแทนเสาเหมือนรถป็อพ) มีให้เลือกสองทาง คือ เหมารถ กับ รอรถตามป้าย ซึ่งการรอรถตามบ้ายลำบากครับ เพราะคนเยอะ รอนาน แลมีทางเลือกพิเศษ คือเดินเอาครับ แต่ว่าแต่ละทะเลสาบนั้นห่างกันเป็น กิโล เดินก็ได้ครับ แต่คงเหนื่อยหน่อยนะ วันนั้นผมได้เที่ยวไป สิบกว่าที่ ก็จะลองยกตัวอย่างที่สวย ๆ ที่ผมจำได้มาให้ดูแล้วกันครับ
อันนี้ ทะเลสาบห้าสีครับ ใครเห็นสีอะไรบ้างเอ่ย
อันนี้ ทะเลสาบ ดอกไม้ 5 สี เนื่องมาจาก เห็นต้นไม้น้ำหลายสีใต้ครับ (น้ำใสมาก)
อันนี้ ทะเลสาบดอกไม้ห้าสี สวยดี อยากให้ดู
ทะเลสาบ ไม้ไผ่ ที่ถ่ายทำภาพยนตร์ HERO 




กว่าที่คณะทัวร์จะเดินทางจาก เฉินตู (ที่เครื่องบินลง) ขึ้นไปถึงตัวอุทยาน ก็ร่วมหกชั่วโมงครับ แต่ว่าก็สวยคุ้มค่าเมื่อยก้นนะครับ 555


     วันต่อมา พวกเราไปกันที่ อุทยาน หวงหลง ซึ่งต้องขึ้นเขาไปอีก ร่วม 4 ชั่วโมงครับ การเดินไปชมนั้นค่อนข้างลำบากทีเดียว เนื่องจากตัวอุทยานอยู่สูงกว่าระดับพื้นดินร่วม 3000 เมตร ทำให้เหนื่อยง่ายและเร็วมาก จนต้องมีอุปกรณ์เสริมคือ กระป๋องออกซิเจนครับ(รูปร่างเป็นอย่างไรดูได้ในวีดีโอ) บันไดทางขึ้นก็ดันเยอะเสียอีก เอาง่าย ๆ ว่ามีแต่บันไดเลยครับ (ผมเกลียดบันได) 
     ส่วนเรื่องทิวทัศน์ น้ำก็ยังใสเหมือนเดิม แต่ว่ามีลักษณะต่างไป คือเราจะเห็นแอ่งน้ำเป็นขั้นบันไดครับ (ใครเคยเล่นเกมส์ Chrono cross ก็จะเหมือนฉากใน Water dragon Isle ครับ)
อุทยาน หวงหลง


     เสร็จสรรพ ก็นับว่าคุ้มนะครับที่ได้มาดู แม้จะต้องแลกกับห้องน้ำสุด TEEN หรืออาหารกาก ๆ และเบียร์ที่รสชาติเหมือนน้ำเปล่า ว่ากันว่า ใครที่มาที่นี้แล้ว จะไม่ขึ้นมาอีกเลย 5555 (ยกเว้นไกด์นะครับ ไกด์ไทยที่ผมไปด้วยเค้าบอกว่าขอขึ้นปีละสองครั้งพอ) ดูครั้งเดียว คุ้มแล้ว พอเลยดีกว่าครับ
     ผมมีวีดีโอที่ถ่ายมาจากเมืองจีนแบบเต็ม ๆ ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะนำมาให้ชมกัน



     
     เกือบลืมไปว่านี่เป็น Blog เกี่ยวกับดนตรี ผมไปจีนคราวนี้ ได้ ขลุ่ยจีนกลับมาเป็น Collection ครับ (ผมชอบสะสมขลุ่ย ไม่ว่าจะเป็น ขลุ่ยเนปาล ขลุ่ยพม่า ขลุ่ย Irish ขลุ่ยไทย ซึ่งอาจนำมาให้ชมในบทความต่อ ๆ ไป) ก็เลยขอนำมาแสดงผลงานสักหน่อยครับ
     ใครว่าเครื่องดนตรีประจำชาติจะนำมาเล่นดนตรีสากลไม่ได้ ถึงแม้ว่าระดับ scale จะแปลก ๆ ไปจากสากลบ้าง แต่ถ้าเรารู้จักประยุกต์ ก็จะสามารถนำมาเล่นกับดนตรีสากลได้สบายเลยครับ อย่างเช่นในรายการคุณพระช่วย หรือจากวงดนตรี ผู้หญิง 12 คน ของจีนที่ใช้เครื่องดนตรีจีนเล่นเพลงกับดนตรีสากล สร้างเพลงได้อย่างกลมกลืน
     เชิญชมเลยครับกับ เพลงขลุ่ยจีน คู่กับกีต้าร์ "ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้" (แต่ส่วนใหญ่มักรู้จักกันว่าเพลง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ)