สถานะ

ติดตามเพลงและผลงานใหม่ๆ ของผม หรือเข้ามาคุยกันแบบเรียลไทม์ได้ทางเพจ www.facebook.com/notekeyboard นะครับ
*สำหรับคอร์ด ที่เห็นในโน้ตนั้น สำหรับมือซ้าย อยากรู้ว่าต้องกดโน้ตอะไรบ้าง กดที่นี่ แล้วใส้ชื่อคอร์ดที่ต้องการรู้ได้เลยนะครับ

ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

     หลังจากผ่านม.ปลายมาแล้ว เราก็เข้าสู่การเรียนระดับอุดมศึกษา หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่ามหาลัยนั่นหล่ะครับ
ผมได้เรียนต่อที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
     ปีหนึ่ง ก็เป็นปีแห่งความสุขครับ(มั่ง) อะไรจะชิวขนาดนั้น ไม่มีการเข้าแถวเคารพธงชาติ ไม่มีการเชคชื่อ ไม่มีการทำรายงานแปะฟิวเจอร์บอร์ด ที่สั่ง 1 เดือน หรือ 1 อาทิตย์ หรือ 1 วันก็มีค่าเท่ากัน คือทำมันตอนเช้าก่อนรายงาน ไม่มีการกวดวิชา ไม่มีกลิ่นตึกอุ๊ติดจมูก(ปัจจุบัน อาจเปลี่ยนเป็นตึก สยามกิตต์ เป็นที่สิงสถิตใหม่ของนักเรียน) ไม่มีการด่าเวลาไม่ตั้งใจเรียน อยากทำอะไรก็เชิญ เชิญเธอได้เลยตามสบายยยยย ใคร ๆ ก็รัก ก็เอ็นดูน้อง เฟรชชี่

การเข้าแถวเคารพธงชาติ ที่ผมคงไม่ได้สัมผัสบรรยากาศนั้นอีก
(ภาพจาก fotoartspace.com)
อาคาร วรรณสรณ์ หรือ "ตึกอุ๊" ที่สิงสถิตของผมสมัยม.ปลาย



แต่พอเริ่มเรียนเข้าจริง ๆ ก็......
   ใครบอกว่าเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แล้วจะง่าย จะสบายกว่าม.ปลายครับ ผมขอบอกว่ามันไม่จริงเลย ไม่ว่าจะวิชาไหน คณะอะไรก็เถอะ(ผมมีเพื่อนอยู่หลายคณะ ทุกคนก็บ่นให้ผมฟังเหมือนกันครับ) มันก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราคงโตขึ้น ความคาดหวังในตัวเองมันก็เลยสูงขึ้นตาม จากตอนม.ปลาย แค่คิดว่าเรียนยังไงก็ได้ ให้มันเอนท์ติดก็พอ (บางคนนะครับ)
      แต่พอมามหาลัยกลับต้องเรียนให้ได้เกรดดี เกรดจะดีมันก็ได้มาจากการแข่งขันกับเพื่อน ๆ   ด้วยระบบอิงกลุ่ม ถึงคุณจะได้คะแนนเยอะกว่าครึ่ง และเยอะในระดับที่คุณพอใจ แต่ว่าถ้าเพื่อน ๆ ของคุณ(ส่วนใหญ่) ได้คะแนนมากกว่าคุณ เกรดคุณก็ไม่สวยหรอกครับ มันก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่เครียด และที่ผมเห็น หลายต่อหลายคน ปากบอกว่าไม่เครียด แต่กลับไปแอบร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่คะแนน มันก็ไม่ได้แย่มากนะ....แค่ตกมีน (ก็เพื่อนมันเก่งกว่านิ) ผมยังรู้สึกว่าระบบนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกแข่งขันกันเรียนอยู่ลึก ๆ แม้จะไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม
     มันก็ทำให้ผมแอบคิดเล่น ๆ ว่า "ทำไมพวกเราทุกคนไม่แกล้งทำคะแนนให้มันต่ำ ๆ หน่อยหล่ะ เอาสัก 60% ไรเงี้ย มีนจะได้ต่ำ ๆ เกรดจะได้ดีดี" จะบ้าหรอครับ!!! ถ้าทำได้อย่างงั้นจริง ก็คงเป็นยุคพระศรีอารย์ ที่ไม่มีใครเห็นแก่ตัวแล้วหล่ะครับ (แหม ถ้าเพื่อน ๆ แกล้งได้คะแนนน้อยนะ พ้มจะทำให้ได้ท๊อปวิชานั้นเลยหล่ะ 555)
     
     นอกจากการเรียนจะยากแล้ว บางครั้งคนมันก็ยากด้วยครับ ยาก...ที่จะอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่เจ็บช้ำน้ำใจ 555 ก็โดยเฉพาะพวกคน(บางคน) ที่ชอบพูดดัง ๆ ว่า อ่านหนังสือไม่ทัน อ่านไม่รู้เรื่อง ยังไม่ได้ฟังเลคเชอร์ย้อน บลา ๆ ๆ เราเห็นว่าบ่น ๆ ก็ช่วยติวให้ ปรากฏว่ารู้หมดทุกอย่าง บอกว่าเราผิดด้วยแน่555
     พอคะแนนสอบออกมามันได้เกือบท็อป (หรือท็อปซะด้วยซ้ำ) ตลอด พอได้คะแนนเหยียบมีน ก็มาบ่นดัง ๆ ว่า เฮ้อ... เครียดอ่ะ ได้คะแนนน้อย ทำไงดี แม่ด่าแน่เลย (ขอโทษนะครับ ผมตกมีนครับ!!!!!)
  
  แต่จะไปโทษวิชาเรียนมันยาก ก็ไม่ได้นักหรอกครับ คงต้องโทษตัวเองด้วย เพราะผมเห็นนะ ส่วนใหญ่เวลาเลคเชอร์เนี่ย อาจารย์จะแทบไม่ค่อยสนใจนักศึกษา ว่าจะทำอะไร ขออย่าเสียงดังจนเกินงามก็พอ แหม เดี๋ยวนี้ smart phone ก็มาแรงซะด้วย จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นหลายคน นั่งเล่น angry bird/fruit ninja/mega jump ฯลฯ ในห้อง (ผมเองก็คนนึง สมแล้วกับเกรดที่ได้รับ) บางครั้งก็โดดเรียนไปเที่ยวเล่น เพราะว่ามีคนอัดเสียงเลคเชอร์ไว้แล้ว อาจารย์ก็แจก สไลด์ power point ไปอ่านเองที่บ้านเอาก็ได้
smart phone และเกมส์มันส์ ๆ อุปสรรคตัวสำคัญในการเลคเชอร์

    ผมเห็นความแปลกประหลาดหลาย ๆ อย่างในการเรียนของผม จึงได้นำมาแต่งเป็นเพลงร้องแซวเล่น ประชดประชันนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นอย่างไรไปชมได้เลยครับ



ปล.สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร(ในคลิปมันบอกว่าทุกคนรู้จัก เพราะตอนนั้นผมทำให้เพื่อน ๆ ฟังครับ><) ก็เปิดดูได้ในบทความแรกนะครับ ^^

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เพลงที่สาม เป็นเพลงจบตอนของสองตอนแรก

ก็นะครับ.... เห็นชื่อก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้เป็นตอนจบ แต่ว่าจะจบดี หรือ จบไม่ดีนี้หน่ะสิ
     ความเดิมตอนที่แล้ว ชอบ แต่ไม่กล้าจีบ พอนาน ๆ เข้า อีกฝ่ายก็เบื่อนะสิครับ แหมเป็นผม ผมก็เบื่อนะ ผู้ชายไรฟะ ป๊อดจริงเชียว มัวแต่ลังเลอยู่ได้ เค้าไม่ได้บอกผมแบบนี้หรอกนะครับ แต่ว่าผมคิดเองเออเอง พอเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ ผมก็เริ่มจินตนาการ อยากได้เพลงเศร้า ๆ สักเพลงนึง มีจังหวะแบบลาติน ๆ นิดหน่อย (แต่พอเพื่อนได้ฟัง มันบอกว่าเหมือนเพลงอาหรับกันทุกคนเลย T_T ไม่เป็นไรครับ อาหรับก็ได้ เดี๋ยวผมเรียกหลานมาปลุก...)
เพื่อนบอกว่า ฟังแล้วเหมือน อาหรับราตรีอะไรยั่งงั้นเลย เลยเอาภาพ aladin มาสร้างบรรยากาศซะเลย
    
      ธีมของเพลงประมาณว่า "ปล่อยเวลาให้ผ่านมานานเกินไป เพราะมัวแต่ลังเล จนในที่สุดก็ต้องผิดหวัง"
     เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีอะไรที่อยากทำ แต่ว่าไม่ได้ทำ เพราะไม่กล้า กลัวผลลัพธ์ไม่ดี ลองทำมันเถอะครับ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก เวลามันผ่านไปได้แค่ครั้งเดียว โอกาสดีดี ก็อาจไม่ได้มีบ่อย ๆ
     อย่าไปกลัวล่วงหน้าครับ แล้วก็อย่าไปคิดแทนคนอื่น เค้าจะหยั่งงั้นหรึเปล่า เค้าจะหยั่งงี้กับเราไหม เพราะสิ่งที่เรามัวแต่ไปกังวล ไปคิดว่าคนอื่นเค้าคิด มันอาจจะไม่เป็นจริงเลยก็ได้ (และผมว่าเกือบ 100% มีแต่คุณที่คิดมากอยู่คนเดียว) เสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ ครับ แหม พูดซะดีเนอะ ตัวเองก็ทำไม่ได้ 555


          พล่ามมาเยอะละ ฟังเพลงกันดีกว่า กับเพลง เสียดาย ครับ





เครื่องดนตรีที่ใช้ yamaha electone el 100 กับกีต้าร์ 
อัดด้วย BB ปลอมเครื่องละ 2500 
คุณภาพเสียงแย่ (ฝีมือคนเล่นแย่) ก็ขออภัยนะครับ หวังว่าจะชอบกัน



เพลงที่สอง เป็นเพลงที่ต่อจากเพลงแรก

 เอาหล่ะสิ ในเมื่อสารภาพรักไปแล้ว ก็ต้องดำเนินการต่อไป..... ต่อไปคืออะไรดีอ่ะ
อ่อ ๆ ๆ บุกทำคะแนนสินะว่าแต่ถ้าจะจีบผู้หญิงสักคนเนี่ย จะทำยังไงดีหว่า ไอ้เราก็เคยอยู่แต่โรงเรียนชายล้วน จีบเป็นแต่ผู้ชาย เอ้ย!! ล้อเล่นนะครับคุณผู้ฟัง อย่าเข้าใจผิด แม้ว่ามันจะเคยมีอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้น่าจิ้นก็เหอะ (ไปกันใหญ่แล้ว)


     เข้าเรื่อง เข้าเรื่อง เข้าเรื่องและเข้าเรื่อง อืม ๆ ต่อ ๆ
จะทำไงดีอ่ะ จีบหญิงต้องทำไง ไอ้เราก็เป็นคนประเภทเกลียดโทรศัพท์ซะด้วย ไม่ชอบคุยนาน ๆ คุยได้ สิบนาที ก็เก่งแล้ว แถมเวลาชาร์จไปคุยไป ไฟมันยังดูดหูอีกต่างหาก (ไอโฟนใครเป็นงี้มั่งป่ะครับ เพื่อถ้าของผมผิดปกติจะได้ซ่อม)


     
     ที่อ้างมาทั้งหมดมันก็แค่ข้ออ้างของคนไม่กล้าหน่ะแหละครับ โทรไปจะคุยอะไรอ่ะ แล้วเค้าจะเบื่อไหม แล้วจะชวนไปกินข้าว หรือ ดูหนังเนี่ยนะ งุ้ย..... ทุกท่านครับ ผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนกันหน่ะแหละครับ มีเขิน มีอาย มีไม่กล้าชวนก่อน มีต้องคิดว่าจะคุยอะไรดีน้า มีต้องคิดว่าเวลาเค้าทักเอ็มมา (สมัยนั้น msn ยังพอใช้กันอยู่ไม่ได้มีแต่ facebook chat เหมือนสมัยนี้) จะพิมพ์ตอบว่าอะไร จะหยั่งงั้น หยั่งงี้ ดีไหม

     เอ๊ะ!!! หรือผมเป็นผู้ชายผิดปกติ???  จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะครับ แต่ว่าความรู้สึกมันก็ทับถมกันมาก ๆ เข้า มาก ๆ เข้า จนผมเอามาแต่งเป็นเพลงได้สำเร็จ
     
     เพลงนี้เป็นเพลงที่ยังคง concept คล้ายกับเพลงแรก เพราะตัวผมเองตั้งใจให้เป็นภาคต่อของเพลงนั้น เครื่องดนตรีที่ใช้ก็เหมือนเดิม ลักษณะเพลงก็จะคล้าย ๆ กัน คือเป็นเพลงที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ เหมือนเล่าเรื่อง ๆ นึง 
      เพลงนี้จะเป็นอย่างไร ไปฟังกันเลยครับ กับเพลง "จุดอ่อน"






เริ่มจากเพลงแรก เป็นเพลงที่ใช้จีบสาวตอนม.ปลาย

     อุ๊ย หลุดปากไปซะแล้วว่าเคยผ่านม.ปลาย ช่างมันเถอะครับ จะโม้เรื่องพื้นหลังของเพลงนี้ให้ฟังดีกว่า 
     
     ก็คือว่า ตอนก่อนเปิดเทอม ก็จะมีการเปลี่ยนห้อง เป็นวันแรกสุดที่เพื่อน ๆ ในห้องก็จะได้มาเจอหน้ากัน โดยต้องไปดูป้ายชื่อในห้องเก่ากันเอง ว่าใครจะได้ไปเรียนปีหน้าที่ห้องไหน
     ผมก็เดินต๊อก ๆ ๆ ไปเข้าห้องของผม เมื่อเข้ามาในห้องแล้วผมก็สวนกับ"เธอ" อู้หู ผมนี่แทบสะดุดขาตัวเองเลยครับ


เพราะว่าโดนอาจารย์หน้าห้องสกัดไว้ทันที
        "นี่ นักเรียน....เธอหน่ะ คนที่ใส่แว่นตาสีฟ้าหน่ะ" ครูตะโกน
                     "ครับผม..." ผมตัวหดเท่าแมลงสาบ
  "ทำไมไม่รู้จักไปตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้วนะ ถ้าเธอไม่ไปตัดให้เรียบร้อย ชั้นจะไม่ให้เธอจ่ายค่าเทอม" อาจารย์พูดด้วยท่าทางที่เหมือนแม่ครัวที่กำลังจะตบแมลงสาบที่วิ่งผ่านจานที่เพิ่งล้าง
     


     ผมจึงต้องรีบบึ่งจากโรงเรียนไปตัดหญ้า เอ้ย ตัดผมทันทีที่ร้านแถวสามย่าน (ปัจจุบันคงโดนจุฬาเวรคืนไปทำสวนสนุกเรียบร้อยแล้ว เสียดายร้าน จีฉ่อย ร้านขายของชำในตำนาน ว่ากันว่าร้านนี้มีทุกอย่างแม้กระทั่ง เปียโน หรือ ชุดกิโมโน 0.0 ) 
     ระหว่างทางตอนนั้นในใจผมก็คิดว่า "เฮ้ย โชคดีแล้วเว้ย ปีนี้มีของสวย ๆ งาม ๆ ให้ดูแล้ว ไม่ห่อเหี่ยวเหมือนปีที่แล้ว อิอิ" เมื่อไปถึงร้านตัดผมครับ ก็พบว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันจากโรงเรียนเยอะมาก ไม่เป็นไร ผมก็รอครับ กว่าจะได้ตัดก็ครึ่งชั่วโมงอยู่ ตัดอีกประมาณสิบนาที
      "อ๊าก สายแล้ว อาจารย์จะหนีกลับบ้านไหมเนี่ย" ผมคิดในใจ รีบบึ่งออกจากร้านตัดผมโดยที่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ (เพื่อนกลับมาด่าที่โรงเรียน เพราะต้องออกเงินให้ผม 555)  
     เมื่อผมกลับมา ก็ยังโชคดีครับอาจารย์ยังอยู่(แหม ตังค์เนี่ย ใคร ๆ ก็อยากรับทั้งนั้นแหละครับ) แต่ว่าผมก็ไม่พบเธอคนนั้นซะแล้ว ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกตั้งปีนึง หึหึ


                                           
นี่หล่ะครับร้าน จีฉ่อย ในตำนาน
(ขอบคุณ http://atcloud.com/stories/45350)
นี่ครับ สามย่านฟันแฟร์








                







     






           
     แต่ว่าหนึ่งปีก็ผ่านไป โดยที่ผมแทบไม่ได้คุยกับเธอเลย เพราะเอาแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบเอนท์ (ว่าง ๆ ก็แอบนั่งมองวันละนิดจิตแจ่มใส) ช่วงนั้นจิตตกมากครับ ไม่เป็นอันทำอะไรเลย เรียนอย่างเดียว เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยได้ติดต่อ พักเที่ยงก็เล่นแต่บาสเกตบอล ระบายอารมณ์ ตอนนั้นก็เลยผอมจนเหลือแต่กระดูก (มีคนบอกมาอีกทีนะครับ) อยากเตือนทุกคนว่าอย่าทำแบบผมเลยนะครับ มันไม่ดีหรอก ชีวิตม.ปลายเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนานจริง ๆ ถ้าพลาดไปแล้ว มันก็ไม่มีทางกลับมาได้แล้วนะครับ หนังสือนะจำเป็นอยู่ แต่ว่าอย่าให้มันเป็นทุกอย่างจนลืมเพื่อนลืมสังคมนะครับ
     เวิ่นเว้อมาเยอะละ เล่าต่อครับ เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือสองสัปดาห์สุดท้ายของปี ผมจึงได้เริ่มคุยกับเธอและก็นะ รู้สึกดีจนต้องสารภาพ (อะไรไปคิดเอง) ผลจะเป็นยังไง ไปฟังได้ในเพลงนี้เลยครับ


                                         เพลง ทันเวลา


แนะนำตัวกันก่อน


สวัสดีครับ ผมชื่อ พี นะครับ                                                          
อายุเท่าไหร่ก็....ไม่บอกละกันครับ เอาเป็นว่ายังเด็กอยู่ : P

     ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบเสียงดนตรี (เนื่องจากโดนแม่บังคับเรียนตั้งแต่เล็ก ๆ ประกอบกับการที่แม่ให้ฟังเพลงคลาสสิกตั้งแต่เด็ก ๆ ) ก็เลยทำให้ผมสนใจในการเล่นดนตรีตลอดมา
     ผมชอบฟังเพลงครับ...แต่ว่าเป็นเพลงที่ดังเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ขอบอกว่าเพลงสมัยนี้ ผม "แทบไม่รู้จัก" จะรู้จักก็แต่เพลงที่เปิดตามวิทยุสยามสแควร์ โฆษณาบนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพราะผมต้องไปโรงเรียนแถวสยาม  แล้วผมยังชอบฟังเพลงบรรเลงอีกต่างหาก (ไม่ฟังคนร้องเพราะอิจฉา เสียงเพราะกว่าตู)
     หลายคนก็อาจจะสงสัยว่า แล้วผมจะแต่งเพลงได้ยังไง ผมก็เลยจะบอกว่า แต่งได้สิ แต่เพลงของผม มันก็แค่ ผิดยุคผิดหู มีสไตล์ต่างไปจากเพลงสมัยใหม่เท่านั้นเอง 5555 แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เพราะหรอกน้า(มั้ง)
     ที่ผมทำ blog นี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะนำเสนอผลงานของผม เป็นเพลงที่บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผมเคยผ่าน หรือ จินตนาการขึ้น  อยากให้คนอื่น ๆ ได้ชม ได้ฟัง ผลงานของผมบ้าง (ไม่งั้นจะแต่งไปทำไมละครับ ช่วยกันดูช่วยกันฟังหน่อยนะ กระซิก ๆ )
     สิ่งสุดท้ายที่อยากจะบอกคือ ผมเป็นคนชอบเล่นดนตรี(มาก) แต่ "ขี้เกียจซ้อม" เพราะฉะนั้น เพลงที่เห็นส่วนมาก เป็นเพลงที่เล่นค่อนข้างจะสด(ผ่านการซ้อมไม่เกิน 1 ชั่วโมง) ไม่มีการเขียนโน๊ต (แต่มีเนื้อนะ) ก็เลยอาจจะทำให้ดูพื้น ๆ ไปบ้างแต่ที่สำคัญที่สุดคือ มัน "สะดุด" บ้างเป็นบางครั้งก็อย่าถือสากันเลยนะครับ


หวังว่าจะชอบผลงานของผมกันนะครับ
 ปล.ถ้าผู้ชมท่านไหนชอบเพลงไหน ก็โปรดเอาไปแผยแพร่ต่อด้วยนะครับ จะขอขอบคุณมาก ^^
 ปล.2 ถ้าอยากแสดงความคิดเห็นติชม ก็ได้เต็มที่เลยนะครับ (แต่ขอสร้างสรรค์และเป็นไปได้ นะครับ ไม่ใช่ให้ผมไปเกิดใหม่หน้าตาจะได้ดีกว่านี้อะไรงี้ 555)
 ปล.3 ถ้าอยากให้ผมแต่งเพลงให้ หรือ ใส่คอร์ดให้เพลงที่คุณเขียนเนื้อ ก็บอกโจทย์มาได้เลยนะครับ ผมยินดี(จะได้ฝึกฝีมือด้วย)


                                                                               ขอบคุณครับ